มุมมองเกษมสันต์ ตอน ตัวเลขไม่โกหก

0
521


หลังจากที่นายกฯประยุทธ์ถาม ครม.ได้ไม่กี่วันว่า “ทำไมเศรษฐกิจไทยโตน้อยกว่าเวียดนาม?” สำนักข่าวสับปะรดก็ได้รายงานข่าวว่า เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย นายฟัน จี้ ทัน ก็ออกมาแถลงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามของปีพ.ศ. 2563 ว่าเติบโต 2.91 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับจีนซึ่งเศรษฐกิจโต 2.3 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาวะที่โลกเราต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19
ส่วนประเทศไทยเรานั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวหรือติดลบที่ 6.5 เปอร์เซ็นต์ ดีขึ้นกว่าเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 7.7 เปอร์เซ็นต์
สำหรับปีพ.ศ. 2564 นั้น ทั้งธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ใกล้เคียงกันว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยจะเติบโตอีกราว 6.5 – 7.0 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ สศค.ประมาณการเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัว 2.8% ใกล้เคียงกับภาคเอกชนที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตราว 2.0 – 3.0 เปอร์เซ็นต์
อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในช่วงปีพ.ศ. 2559 -2563 นั้นน่าจะเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่งเพราะเวียดนามเติบโต 6.2 , 6.8, 7.1, 7.1 และ 2.9 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ทำให้เติบโตเฉลี่ยที่ 6.0 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในช่วงเดียวกันนี้เศรษฐกิจไทยเติบโต 3.4, 4.1, 4.2, 2.4 และติดลบ 6.5 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว ทำให้ไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แพ้เวียดนามมากอย่างน่าตกใจ
ขณะที่จีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตกว่าเราเติบโตที่ 6.8, 6.9, 6.7, 6.1 และ 2.3 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีพ.ศ. 2559 -2563 ตามลำดับ ทำให้จีนเติบโตเฉลี่ยที่ 5.8 เปอร์เซ็นต์ สูงติดอันดับโลกและสูงกว่าไทย ทำให้เหตุผลของอดีตรองนายกฯ บางคนที่เคยบอกว่าเศรษฐกิจไทยเราเติบโตน้อยกว่าเวียดนามเพราะขนาดเศรษฐกิจเราใหญ่กว่านั้น หมดความชอบธรรมไปโดยสิ้นเชิง
ความจริงไทยเราไม่ใช่เพิ่งจะมาเติบโตน้อยกว่าเวียดนามในช่วงหลังๆ เมื่อดูอัตราเฉลี่ยการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงปีพ.ศ. 2554 – 2558 ซึ่งเศรษฐกิจไทยเราเติบโตเฉลี่ย 2.6 เปอร์เซ็นต์นั้น เศรษฐกิจเวียดนามก็ยังสามารถเติบโตในอัตราเฉลี่ยได้ที่ 5.8 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าไทยเกิน 2 เท่า
ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจากปีพ.ศ. 2554 -2563 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.05 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเฉลี่ย 5.9 เปอร์เซ็นต์ โตมากกว่าไทยเราเกือบ 3 เท่า ดังนั้นที่นายกฯ ประยุทธ์ ถาม ครม.ว่า “ทำไมเศรษฐกิจไทยโตน้อยกว่าเวียดนาม?” จึงเป็นการถามที่ถูกต้องแล้ว ถึงแม้ว่าจะถามช้าไปหลายปีก็ตาม เพราะถ้าถามตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 ที่ทำการ คสช.เข้ามา หลายสิ่งหลายอย่างน่าจะได้รับการแก้ไขไปแล้ว น่าเสียดาย
และเมื่อดูอัตราเติบโตเฉลี่ยทางเศรษฐกิจของไทยย้อนหลังไป 30 ปี เราจะพบว่าในช่วงปีพ.ศ. 2534 -2543 ไทยเติบโตเฉลี่ย 4.6 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาในช่วงปีพ.ศ. 2544 -2553 ไทยเติบโตเฉลี่ยลดลงเหลือ 4.4 เปอร์เซ็นต์ และในช่วงปีพ.ศ. 2554 -2563 ไทยเติบโตเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 2.05 เปอร์เซ็นต์
ตัวเลขการเติบโตเฉลี่ยของไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยที่อ่อนด้อยลงอย่างน่าตกใจ สะท้อนถึงปัญหาทางโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย ไม่ใช่เรื่องปัญหาขนาดเศรษฐกิจของไทย ปัญหาเศรษฐกิจโลก หรือเพราะการระบาดของโควิด-19 อย่างที่ชอบอ้างกันแต่อย่างใด
ผมเคยวิเคราะห์เอาไว้นานแล้วว่าที่เศรษฐกิจไทยเราเติบโตเฉลี่ยลดลงเรื่อยๆ นั้นเป็นเพราะ
หนึ่ง ไทยเราไร้ยุทธศาสตร์ แม้ปัจจุบันจะมีสิ่งที่เรียกว่ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่ผมก็ขอยืนยันอีกเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้ ว่ามันไม่ใช่ยุทธศาสตร์แบบที่ประเทศที่เขาพัฒนาได้สำเร็จเขาเขียนกัน มันยังคงเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติที่เราเขียนกันมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2504 ซึ่งไม่ใช่ยุทธศาสตร์ มันเป็นแค่ไกด์ไลน์หลวมๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ สาเหตุหลักที่ทำให้ไทยเรามีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
สอง เราปล่อยให้ปัญหาคอรัปชั่นมันหมักหมมและยังไม่มีวี่แววของการแก้ไขอย่างจริงจัง
สาม คนไทยเราเก่งสู้คนประเทศอื่นไม่ได้ เพราะระบบการศึกษาของเราล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
และสี่ ภาครัฐ องค์กรอิสระและเรกูเลเตอร์ของไทยเราอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ ไร้น้ำยา
ขนาดเศรษฐกิจวัดที่กันด้วยกำลังซื้อนั้น ปัจจุบันใน AEC อินโดนีเซียมีขนาดใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดยนามรั้งท้ายเป็นอันดับที่ 5 แต่ในอีกราว 30 ปีข้างหน้า ไพรซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PWC) เคยคาดการณ์เอาไว้ว่าลำดับจะเปลี่ยนไป เป็น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย และไทยรั้งอันดับสุดท้าย ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่เผยแพร่กันออกมาในช่วงนี้ก็ยิ่งทำให้การคาดการณ์ว่าเวียดนามจะแซงไทยนั้นมีความเป็นไปได้สูงขึ้นไปอีก
ดังนั้นคงถึงเวลาแล้วที่นายกฯ ประยุทธ์ จะต้องถามคำถาม ครม.ให้บ่อยขึ้น และพวกเราก็ควรจะตั้งคำถามที่ถูกต้องกับ ครม.ให้บ่อยขึ้น โดยเอาตัวเลขที่ไม่โกหกเรามาถามและตอบกัน

[smartslider3 slider="9"]