เวลาที่ธุรกิจระดับโลกเขามองหาประเทศที่จะไปทำธุรกิจหรือลงทุนเขาเอาอะไรตัดสินรู้มั้ยครับ?
เขามองที่
หนึ่ง ความง่ายในการไปทำธุรกิจ ซึ่งต้องง่ายและสะดวก เริ่มตั้งแต่การตั้งบริษัท ระบบภาษี ความพร้อมของบุคลากร ความยากง่ายของการเอาเงินเข้าออก ข้อนี้สิงคโปร์ดีที่สุดในโลกส่วนไทยอยู่ที่ 18
สอง เขามองที่ ความโปร่งใส คอร์รัปชั่นมีมากน้อยเพียงใด และกฎหมายของประเทศนั้นๆ มีความเป็นธรรมต่อธุรกิจต่างชาติเท่ากับธุรกิจท้องถิ่นหรือไม่ เรื่องนี้สิงคโปร์ได้ที่ 5 ส่วนไทยอยู่ที่ 88
และสาม เขามองที่ความพร้อมด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ว่ามีความพร้อมแค่ไหน มีต้นทุนต่ำหรือสูงในการทำธุรกิจ รวมถึงความสะดวกในการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของคนต่างชาติด้วยนะครับ สิงคโปร์ได้ที่ 2 แพ้ฮ่องกง ส่วนไทยได้ที่ 46
คงไม่ต้องถามกันแล้วนะครับว่าใครกันแน่เป็นศูนย์กลาง ASEAN ในปัจจุบัน
ไทยประกาศจะเป็นศูนย์กลาง AEC ด้วยการจะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านและบอกว่า connectivity is opportunity แต่ถ้าทั้งสามเรื่องที่ว่ามาเราอยู่อันดับครึ่งร้อย เราจะเป็น ศูนย์กลาง AEC ได้อย่างไรครับ?
ผมถามคนสิงคโปร์ว่า คิดอย่างไรที่รัฐบาลไทยจะลงทุน 2 ล้านล้านบาทสร้างรถไฟขนของและขนคน เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านเข้าด้วยกัน
เขาตอบว่ายังไงรู้มั้ยครับ?
เขาตอบว่า
หนึ่ง ประเทศไทยตอบได้หรือยังว่าทำไมมาเลเซียซึ่งลงทุนทำท่าเรือใหญ่โตกว่าสิงคโปร์ในทำเลเดียวกันและคิดค่าบริการถูกกว่า แต่ก็ยังไม่มีธุรกิจมาใช้เหมือนท่าเรือสิงคโปร์
คำตอบก็คือ ประสิทธิภาพของท่าเรือมาเลเซียยังต่ำว่าท่าเรือของสิงคโปร์ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดของเอเชียมากว่า 20 ปีแล้ว นั่นหมายความว่าแม้ไทยเราจะมีรถไฟและถนนเชื่อมโยงแต่ถ้าบริหารกันแบบไม่มีประสิทธิภาพก็อาจไม่มีคนมาใช้ก็ได้ เหมือนปัญหาที่มาเลเซียเจออยู่
สอง การสร้างรถไฟขนของและขนคนนั้น ไม่ว่าทางรถไฟจะพาดผ่านไปทางใดมันก็จะทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มของที่ดินและเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจตรงบริเวณนั้น รัฐบาลไทยคิดว่าจะเก็บมูลค่าเพิ่มเหล่านั้นไว้อย่างไร เพื่อที่จะได้นำเอามูลค่าเพิ่มเหล่านั้นเข้าสู่รัฐ เป็นผลประโยชน์ของส่วนรวมและเอาไปลดต้นทุนของการก่อสร้างรถไฟทำให้สามารถคิดค่าบริการที่ถูกลงมาได้
คนไทยที่ไปกับผมตอบแทนทันทีว่าอ๋อเรื่องแบบนี้คนไทยคิดรอบคอบอยู่แล้ว เริ่มตั้งแต่รถไฟจะวิ่งไปทางไหนนักการเมืองและพรรคพวกเขาก็จะไปกว้านซื้อที่ดินคอยไว้ก่อนแล้วขายที่ดินให้รัฐบาล ได้กำไรต่อที่หนึ่ง ต่อที่สองคือผลประโยชน์ต่อเนื่องจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รอบๆสถานีรถไฟ ก็จะถูกเก็บเอาไว้รับประทานกันเอง ส่วนต่อที่สามซึ่งได้ก่อนเลยคือค่าคอมมิสชั่นจากการประมูลโครงการมูลค่า 2 ล้านล้านบาท นี่เป็นที่รู้กันว่าว่าใครควรจะได้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่นี้ไป
ตอนต่อไปผมจะมาบอกว่าสิงคโปร์เขามียุทธศาสตร์อะไรเมื่อเปิด AEC ครับ