มุมมองเกษมสันต์ ตอน กรรมจากคอรัปชั่นและทัศนคติ

0
465

ในที่สุดก็มาตามความคาดหมาย การระบาดของโควิดรอบสอง หรือจะเรียกว่าระบาดรอบใหม่ตามภาครัฐก็คงไม่ต่างกัน ผมแอบคิดตลอดมาว่าที่ไทยเรามีผู้ติดเชื้อน้อยจนโลกชมเชยนั้นอาจจะเป็นเพราะเราตรวจเชิงรุกน้อยไปหรือเปล่า?

อย่างไรก็ตามการที่ไทยเราสามารถยันเชื้อโควิด มาได้นานจนเกือบจะสิ้นปี 2563 นี่ผมว่าเราต้องชมเชยและให้กำลังใจรัฐบาลและบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้อุทิศตนและทุ่มเททำงานอย่างหนัก แต่ที่ต้องชื่นชมกันเป็นพิเศษก็คือคนไทยด้วยกันเอง เพราะคนไทยเรามีวินัยระมัดระวังตัวเองจากการติดโควิดดีกว่าหลายๆ ประเทศในโลก ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่างทางสังคม ล้างมือบ่อยๆ กินร้อนช้อนเรา ฯลฯ

แต่ดูจากการระบาดรอบสอง รอบสามในต่างประเทศทั้งในเอเชียและในยุโรป แล้วผมมองว่าเมื่อมันเริ่มระบาดแล้วส่วนมากจะคุมไม่อยู่ การระบาดดูเหมือนระบาดง่ายกว่าที่หลายฝ่ายคิด เช้ามืดวันศุกร์ขณะที่เขียนบทความนี้โลกเรามีผู้ติดเชื้อทะลุ 79 ล้านรายไปแล้ว และเสียชีวิตไปแล้วกว่า 1.74 ล้านราย ยุโรปหลายประเทศประกาศงดฉลองเทศกาลคริสมาสต์ ปีใหม่ ส่วนไทยเราหลังจากที่ไม่มีคนไทยติดเชื้อในประเทศมานานก็ด่านแตกจนได้จากคนที่ข้ามฝั่งไปทำงานประเทศเพื่อนบ้านและแรงงานเพื่อนบ้านที่ข้ามไปมาอย่างผิดกฎหมาย

เรื่องนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไร เจ้าหน้าที่ภาครัฐของไทยที่เกี่ยวข้องกับเดินทางข้ามพรมแดนและการกักตัว รวมถึงภาคเอกชนทั้งไทยและเพื่อนบ้านที่ได้ประโยชน์ต้องมีส่วนร่วมอย่างแน่นอน เป็นเรื่องของการคอรัปชั่น ที่ฝังรากลึกกันมานาน ถ้าเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่เอาด้วยผู้หญิงที่ข้ามฝั่งไปหากินฝั่งโน้นจะข้ามไปมาได้อย่างไร? พวกเธออรชรอ้อนแอ้น ไม่ใช่ทหารพรานนะครับจะได้ข้ามพรมแดนไปมาได้อย่างง่ายๆ หรือพวกแรงงานเพื่อนบ้านจะข้ามฝั่งข้ามพรมแดนกันมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันได้ง่ายๆ แถมยังรู้ว่าแหล่งที่ต้องการใช้แรงงานอยู่ตรงไหนอีกต่างหาก

เมื่อตอนโควิดระบาดเริ่มระบาดกันไปทั่วโลกเมื่อตอนต้นปี ในขณะที่ไทยเราไล่แรงงานเพื่อนบ้านกลับประเทศอย่างน่าเสียใจ สิงคโปร์กลับทำตรงกันข้าม เขาไม่ได้ไล่แรงงานต่างประเทศกลับบ้าน เพราะเขาคิดว่าโควิดมาแล้วก็จะไป เมื่อโควิดไปสิงคโปร์ต้องเดินหน้าต่อ ต้องใช้แรงงานเขาจึงไม่ไล่กลับ

ไม่ไล่กลับไม่พอ รัฐบาลสิงคโปร์ยังประกาศให้แรงงานต่างประเทศสบายใจว่าจะดูแลให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเพื่อให้แรงงานเหล่านั้นมีรายได้และสามารถส่งกลับไปให้ครอบครัวได้ คิดแล้วภาพตัดกลับมายังภาพที่แรงงานเพื่อนบ้านต้องโดนไล่ออกจากไทยไปกักตัวอยู่ชายแดนบ้านเราอย่างทุลักทุเล

เมื่อแรงงานต่างประเทศเริ่มติดเชื้อในสิงคโปร์ รัฐบาลเขาประกาศทันทีว่าต้องระบาดหนักแน่นอนเพราะแรงงานเหล่านั้นอาศัยอยู่กันอย่างแออัด แต่ขอให้ประชาชนอย่ากังวลเพราะแรงงานส่วนมากติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการเพราะแรงงานมีความแข็งแรง แม้ว่าตัวเลขรวมผู้ติดเชื้อจะสูงทะลุ 58,000 คน แต่ผู้เสียชีวิตกลับมีเพียง 29 ราย

เมื่อคุมการระบาดในหมู่แรงงานต่างประเทศได้ สิงคโปร์ก็ประกาศจะพัฒนาความเป็นอยู่ของแรงงานต่างประเทศในสิงคโปร์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ให้แออัดยัดเยียดกันจนเกินไป น่าสนใจว่าจะได้ยินเรื่องแบบนี้จากรัฐบาลไทยหรือไม่?

เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมมีโอกาสไปบรรยายเรื่อง AEC ที่สมุทรสาคร เมื่อบรรยายจบก็มีคำถามมาจากผู้ประกอบการที่นั่นว่า จะทำอย่างไรดี เพราะแรงงานเมียนมาที่มาทำงานในสมุทรสาคร เมื่อเจ็บป่วยก็มาแย่งการรักษาที่โรงพยาบาล มีลูกมีหลานก็มาแย่งที่เรียนกับลูกหลานคนไทย มิหนำซ้ำบางรายยังมาเปิดแผงเปิดร้านขายของแข่งกับคนไทยเสียอีก

ผมเลยสวนกลับไปทันทีว่า คนสมุทรสาครนี่แปลกดีนะ จังหวัดตัวเองขาดแคลนแรงงาน จึงต้องไปเอาแรงงานเมียนมามาทำงาน ถ้าไม่มีแรงงานเหล่านี้อุตสาหกรรมประมงของจังหวัดต้องสะดุดอย่างแน่นอน ตอนจ้างก็อยากจ้างถูกๆ แต่ตอนพวกเขาเจ็บป่วยไม่อยากรักษา มีลูกไม่อยากให้เรียนหนังสือ ทำไมคนสมุทรสาครใจดำจัง

ผมถามว่าตอนที่เราอ่านข่าวคนไทยในสหรัฐเปิดร้านอาหาร เรารู้สึกภูมิใจว่าคนไทยเก่งค้าขายสู้คนอเมริกันได้ แต่พอแรงงานเพื่อนบ้านมาทำมาค้าขายในไทยได้บ้าง เรากลับคิดว่าเขามาแย่งงานเราทำ ใจคออยากจะใช้แต่แรงงานแล้วจ่ายค่าแรงถูกๆเท่านั้นหรือ?

การที่ไทยเราต้องเจอการระบาดอีกรอบนี้ ผมมองว่ามันเป็นผลกรรมของการคอรัปชั่นและทัศนคติของคนไทยที่มีกับแรงงานเพื่อนบ้านนั่นเอง

[smartslider3 slider="9"]