AEC for Happy Family กับเกษมสันต์ / มีนาคม 2560
จับตา AEC
เผลอแป๊บๆ ก็ถึงเดือนมีนาคมแล้วนะครับ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เดือนนี้ผมเลยอยากพาคุณแม่คุณพ่อไปดู ว่าประเทศต่างๆใน AEC ปีนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง จะได้นึกภาพออกว่าอนาคตลูกรักของเราจะโตมาในสภาพแวดล้อมอย่างไร
ไปเริ่มกันที่บรูไนประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจ 371,000 ล้านบาทใหญ่เป็นอันดับที่ 134 ของโลก หลังจากที่ในช่วง 2554 ถึง 2558 เศรษฐกิจบรูไนหดตัวเฉลี่ยปีละ 0.2 เปอร์เซ็นต์แต่ปีที่แล้ว 2559 บรูไนพลิกกลับมาเติบโตได้ 1 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าปีนี้จะโตต่อเนื่องอีกราวๆ 2.5 เปอร์เซ็นต์ และในช่วงปี 2559 ถึง 2563 เศรษฐกิจบรูไนจะ โตเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8 เปอร์เซ็นต์
คนบรูไนวันนี้รวยเป็นอันดับสองของ AEC นะครับมีรายได้เฉลี่ยเป็นตัวเงินคนละราวๆ 850,000 บาทต่อปีสูง เป็นอันดับที่ 25 ของโลก แต่ถ้าแปลงเป็นอำนาจจับจ่ายใช้สอยจริงๆ แล้วคนบรูไนจะมีอำนาจซื้อสูง ถึงคนละ 2,800,000 บาทต่อปีสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลกเลยทีเดียวนะครับ ปัญหาของบรูไนวันนี้ก็คือน้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติซึ่งเป็นรายได้หลักมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของประเทศกำลังจะหมดลงในอีก 20 กว่าปีข้างหน้า บรูไน วันนี้จึงต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้หันมาพึ่งพาอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรม ท่องเที่ยวซึ่งวันนี้ยังไม่พัฒนามากนัก ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่าจะออกหัวหรือออกก้อย แต่ถ้าให้ผมทำนายผม ว่าออกหัวเพราะประชากรบรูไนมีน้อยมากคือมีไม่ถึง 5 แสนคน และการวางแผนประเทศเขาก็ศึกษาของสิงคโปร์ มาเลเซียซึ่งประสบความสำเร็จไปแล้ว
ส่วนประเทศที่คนมีฐานะดีที่สุดใน AEC ก็คือสิงคโปร์ซึ่งในช่วงปี 2554 ถึง 2558 เศรษฐกิจเติบโตเฉลี่ย 3.5 เปอร์เซ็นต์ซึ่งต้องถือว่าดีมากสำหรับประเทศพัฒนาแล้วเช่นสิงคโปร์ แต่ปีที่แล้วสิงคโปร์กลับทำได้ไม่ค่อยดี นักคือเติบโตได้แค่ 1.8 เปอร์เซ็นต์ส่วนปีนี้คาดกันว่าน่าจะโตได้ราว 2.0 เปอร์เซ็นต์ และในช่วงปี 2559 ถึง 2563 คาดกันว่าสิงคโปร์จะเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6 เปอร์เซ็นต์ซึ่งต้องถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่สิงคโปร์เคยทำเอาไว้ในอดีต
แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ มีพื้นที่ราว 700 ตารางกิโลเมตรใหญ่กว่าภูเก็ตนิดเดียวแต่ขนาดเศรษฐกิจของสิงคโปร์ วันนี้กลับมีมูลค่าสูงถึง 10.5 ล้านล้านบาทใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก ส่วนรายได้เฉลี่ยคิดเป็นตัวเงินของประชากร ทั้งหมดที่มีอยู่ราว 5 ล้าน 8 แสนคนนั้นอยู่ที่ 1,877,000 บาทสูงที่สุดใน AEC และเป็นอันดับ 8 ของโลก แต่ถ้าวัดจากอำนาจซื้อ คนสิงคโปร์จะมีอำนาจซื้อเฉลี่ยคนละ 3 ล้านบาทเลยทีเดียว สูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลกเป็นรองเฉพาะคนการ์ต้าและคนลักเซมเบิร์กเท่านั้น
ถ้าดูย้อนหลังไปถึงปีพ.ศ. 2508 ปีที่สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซียซึ่งในขณะนั้นระดับความเจริญของสิงคโปร์ นั้นแทบไม่ได้ต่างอะไรกับเมืองไทย รายได้เฉลี่ยของคนของเขาก็สูงกว่าเราแค่ 2-3,000 บาท แต่ด้วยวิสัยทัศน์ ของอดีตนายกฯ ลีกวนยู ผู้ล่วงลับไปแล้ว ทำให้วันนี้สิงคโปร์ทิ้งให้เมืองไทยติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง แบบยังหาทางออกไม่เจอ ส่วนสิงคโปร์ได้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วไปเรียบร้อย และรายได้เฉลี่ยคนของเขา ก็มากกว่าคนไทยเกือบๆ 1 ล้าน 6 แสนบาทเลยทีเดียว และไม่ว่าจะวัดศักยภาพประเทศด้านใดยกเว้นเรื่องพื้นที่ ประเทศกับจำนวนประชากรแล้วต้องยอมรับนะครับว่าสงิคโปร์เหนือกว่าประเทศไทยทุกประการ
ก้าวต่อไปของสิงคโปร์คือการจะเป็นประเทศที่มีข้อตกลงการค้าเสรีมากที่สุดในโลกเพื่อรักษาความเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนของภูมิภาคเอาไว้ต่อไป แต่ที่น่าสนใจก็คือหลังจากระหองระแหงกับมาเลเซียมายาวนาน วันนี้ สองประเทศตกลงกันได้แล้วเรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสองประเทศ โดยเส้นทางจะผ่านเขตเศรษฐกิจพิเศษ อิสกันดาร์ในมาเลเซีย ซึ่งทั้งสองประเทศหวังจะใช้เขตเศรษฐกิจอันนี้เป็นฐานการผลิตระดับโลกร่วมกัน น่าจับตามองมากนะครับ คุณแม่คุณพ่อถ้ามีเวลาก็ลองพาลูกรักลงไปเที่ยวสวนสนุกเลโก้แลนด์ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อิสกันดาร์ดูนะครับ และอย่าลืมแวะดูมหาวิทยาลัยระดับท็อป 1 เปอร์เซ็นต์ของโลกนับสิบแห่งที่มาตั้งอยู่ที่นั่น ด้วยเผื่อลูกรักโตขึ้นมาอาจจะได้ไปเรียนที่อิสกันดาร์ก็เป็นไปได้ เห็นว่าคุณภาพเท่ากันแต่ค่าเรียนแค่ 1 ใน 3 ของ อเมริกากับอังกฤษเลย ที่เขาทุ่มเทไปดึงมหาวิทยาลัยระดับโลกมาเปิดสอนที่นั่นก็เพราะเขาคิดชัดเจนว่าฐานการ ผลิตระดับโลกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีบัณฑิตระดับโลกรองรับเท่านั้น สั้นง่ายแต่ได้ผลนะครับคิดแบบนี้
ลองไปดูกันที่อินโดนีเซียประเทศที่มีคนมากถึง 263 ล้านคนเศษเยอะที่สุดใน AEC และมากเป็นอันดับ 4 ของ โลกตามหลังจีน อินเดีย และสหรัฐฯ เศรษฐกิจอินโดนีเซียนั้นปีที่แล้ว 2559 เติบโตได้แค่ 5.0 เปอร์เซ็นต์ ลดลงจาก ช่วงปี 2554 ถึง 2558 ซึ่งเติบโตเฉลี่ยค่อนข้างดีที่ 5.7 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปีนี้คาดว่าอินโดนีเซียจะโตต่อเนื่องในอัตรา ที่ใกล้เคียงกับปีที่แล้วคือ 5.1 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี 2559 ถึง 2563 คาดการณ์กันว่าอินโดนีเซียจะเติบโตเฉลี่ยราว 5.5 เปอร์เซ็นต์ เศรษฐกิจของอินโดนีเซียซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดใน AEC นั้นมีขนาด 33.4 ล้านล้านบาทใหญ่กว่าไทย ซึ่งใหญ่เป็นที่ 2 อยู่ราวๆ 2.4 เท่า รายได้เฉลี่ยของคนอินโดนีเซียวัดเป็นตัวเงินนั้นอยู่ที่ 120,000 บาทแต่มีอำนาจ ซื้อราวๆ 396,000 บาทสูงเป็นอันดับกลางๆ ของโลกที่ 99
หลังจากได้โจโค วิโดโด้หรือโจโควี่มาเป็นประธานาธิบดีนั้นต้องบอกว่าอินโดนีเซียดีขึ้นผิดหูผิดตาในแทบจะ ทุกด้าน อะไรที่มันอยู่นอกรีตนอกรอยวันนี้โจโควี่จัดระบบใหม่หมดเรียบร้อย มีบางสำนักออกมาบอกแล้วว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า อินโดนีเซียจะเติบโตขึ้นมาเป็นประเทศที่มีอำนาจซื้อติด 1 ใน 10 ของโลกตามจีนซึ่งโตเป็นที่หนึ่งมาสักพักหนึ่งแล้วและอินเดียที่โตเป็นที่ 3 อย่างน่าอะเมซิ่ง คนอินโดนีเซียนั้นผมชอบเพราะพวกเขาน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใสคล้ายๆคนไทย อาหารการกินก็อร่อยและมีให้เลือกหลากหลายทั้งที่เป็นอาหารฮาล้าลและไม่ใช่ ถ้ามีโอกาสคุณแม่คุณพ่อน่าจะพาลูกรักไปเที่ยวไปทำความรู้จักประเทศนี้และคนของเขาหน่อยนะครับ อีกไม่นาน เขาจะเป็นพี่ใหญ่ตัวจริงเสียงจริงของ AEC แล้ว
จากอินโดนีเซีย เรามาต่อกันที่มาเลเซียซึ่งในช่วง 2554 ถึง 2558 นั้นเติบโตเฉลี่ยที่ 5.2 เปอร์เซ็นต์สูงเป็น 2 เท่า ของเมืองไทยพอดีในช่วงระยะเวลาเดียวกัน พอมาถึงปี 2559 ซึ่งการเมืองมาเลเซียมีความวุ่นวาย แถมราคาน้ำมัน ยังตกเสียอีก เศรษฐกิจมาเลเซียซึ่งพึ่งพาราคาน้ำมันมากพอสมควรเลยมีปัญหาโตได้แค่ 4.1 เปอร์เซ็นต์และคาดว่า จะโตได้แค่ 4.4 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ การเติบโตโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2559 ถึง 2563 ของมาเลเซียนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ 5.0 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันคนมาเลเซียซึ่งมีอยู่ราวๆ 31 ล้านคนนั้นมีรายได้เฉลี่ยเป็นตัวเงินอยู่ที่ 340,000 บาทต่อปี สูง เป็นอันดับที่ 62 ของโลกมากกว่าคนไทยที่มีรายได้เฉลี่ย 200,000 บาท ถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาททั้งๆ ที่เมื่อปี 2524 นั้นคนมาเลเซียมีรายได้มากกว่าคนไทยแค่หลักพันบาทเท่านั้นเอง ส่วนอำนาจซื้อเฉลี่ยของคนมาเลเซียปัจจุบัน นั้นอยู่ที่ 930,000 บาทสูงเป็นอันดับที่ 47 ของโลก
แม้จะแซงประเทศไทยไปแล้ว แต่วันนี้ปัญหาหนักของมาเลเซียนั้นอยู่ที่ความวุ่นวายด้านการเมืองการคอร์รัปชั่น ของนายกนาจิ๊บ ราซัคซึ่งทั่วโลกรู้กันหมดแล้ว แต่ระบบการเมืองในมาเลเซียยังไม่สามารถเอาเขาลงจากตำแหน่งได้ ถ้าเรื่องนี้ยืดเยื้อมากเท่าไหร่ มาเลเซียก็จะมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น ต้องจับตาดูให้ดี