Home Mother & Care AEC HAPPY FAMILY AEC for Happy Family : พาหลานตัวน้อยเที่ยวโฮจิมินห์

AEC for Happy Family : พาหลานตัวน้อยเที่ยวโฮจิมินห์

0
516
[smartslider3 slider="7"]
AEC for Happy Family : พาหลานตัวน้อยเที่ยวโฮจิมินห์

AEC for Happy Family กับเกษมสันต์ / ตุลาคม 2559
พาหลานตัวน้อยเที่ยวโฮจิมินห์

เมื่อเดือนที่แล้วผมมีโอกาสพาหลานสาวอายุ 11 ขวบ “น้องพริม” ไปเที่ยวเวียดนามเพราะหลานบอกว่าได้เห็น คุณลุงอาจารย์ พูดถึงเวียดนามในรายการทีวีหลายครั้งแล้วว่าน่าไปเที่ยวน่าไปหาอะไรแปลกๆ อร่อยๆ ทาน เลยอยากให้พาไปเที่ยวบ้าง ผมรับปากเพราะอยากจะเห็นปฏิกิริยาของเด็กวัยนี้ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าได้ไปจริงๆ
ผมเลือกที่จะพาหลานไปโฮจิมินห์เพราะอยากให้เขาได้เห็นความคึกคักของเมืองและเมืองใหม่ในอนาคตที่กำลัง จะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า พอไปถึงสนามบินที่โฮจิมินห์เท่านั้นแหล่ะ น้องพริมก็ต้องประหลาดใจในความทันสมัย ของการตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนามเพราะที่นั่นเขาไม่มีเอกสารอะไรให้เราต้องกรอกเลย แค่ยื่นหนังสือ เดินทางอย่างเดียวให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็พอแล้ว ผมอธิบายหลานสาวว่าถ้าวางระบบไอทีให้ดีๆ ก็ไม่มี ความจำเป็นจะต้องกรอกเอกสารอะไรให้วุ่นวาย หลานสาวเลยถามต่อแบบซื่อๆว่าทำไมเมืองไทยทำอย่างนี้บ้าง ไม่ได้ ทำเอาผมไปไม่เป็นเลย
ทริปก่อนหน้านี้ที่ผมมาถ่ายทำรายการทีวีที่นี่ซึ่งต้องขออนุญาตทางราชการให้เรียบร้อยล่วงหน้าก่อนมาถึงเพราะ ในเวียดนามเขายังเข้มงวดเรื่องการถ่ายทำรายการโทรทัศน์อยู่ และเขาก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาอยู่ดูแลเราตลอดเวลา เพื่อจะได้อำนวยความสะดวกและคอยควบคุมการถ่ายทำในคราวเดียวกัน พอผมผ่านการตรวจคนเข้าเมืองไป เรียบร้อยและไปรอรับกระเป๋าอยู่นั้นก็มีเจ้าหน้าที่คนที่จะต้องติดตามเราเดินเข้ามาทักผมที่สายพานกระเป๋าว่าการ เดินทางสะดวกเรียบร้อยหรือไม่? ผมถึงกับตกใจว่าทำไมรู้ว่าเป็นเรา เขาก็ตอบว่าพอเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง สแกนพาสปอร์ตผมเขาก็รู้ทันทีว่าผมมาถึงแล้ว นี่แปลว่าระบบไอทีของการตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนามเขา ไม่ธรรมดาเลย


เมื่อได้รับกระเป๋าเรียบร้อย ผมก็พาหลานสาวออกมาแลกสตางค์ ซื้อซิมโทรศัพท์ หลังจากได้เริ่มออนไลน์ น้องพริมก็ทดลองเล่นทันทีแล้วก็บอกกับผมว่าอินเตอร์เน็ตของเวียดนามนี่เร็วดีไม่แพ้เมืองไทยเลยนะ ยิ่งพอได้เข้าเมืองแล้วรู้ว่าแทบจะทุกร้านที่เราเข้าไปซื้อของหรือทานอาหารล้วนแต่มีไวไฟฟรีไว้คอยให้บริการ น้องพริมถึงกับบอกว่าเมืองไทยเราน่าจะมีแบบนี้บ้าง เรื่องไวไฟฟรีที่มีให้บริการแทบจะทุกร้านนี่เลย ทำให้คนไทยบางคนที่มาเที่ยวบ่อยๆ บอกไม่ต้องเปิดโรมมิ่งไม่ต้องซื้อซิม แค่อาศัยไวไฟฟรีของที่นี่ก็ไม่ขาดการติดต่อ กับเพื่อนฝูงได้สบายๆเลยทีเดียว
ระหว่างทางจากสนามบินเข้ามาในตัวเมือง น้องพริมบอกว่าเวียดนามไม่เห็นจะเจริญเหมือนอย่างที่คุณลุงเคยเล่า ในรายการเลย และยังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะเจริญแซงหน้าประเทศไทยตรงไหน ผมเลยอธิบายว่าที่เราผ่านมานั้น รวมถึงในตัวเมืองโฮจิมินห์เขต 1 ที่เราพักซึ่งเป็นเขตที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ รวมถึงตลาดบิ่นถันที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องแวะไปซื้อของติดไม้ติดมือก่อนกลับบ้านนั้นเป็นส่วนตัวเมืองเก่า คงไม่สามารถพัฒนาอะไรได้มากแล้วเพราะพื้นที่มีอยู่อย่างจำกัด อธิบายเสร็จแล้วผมก็เลยพาหลานสาวนั่งรถไปดู เขตอื่นๆของโฮจิมินห์ โดยเริ่มต้นด้วยการพาไปดูที่เขต 2 ริมแม่น้ำไซ่ง่อนก่อน เพราะที่เขตนี้เขากำลังจะพัฒนาให้ เป็นศูนย์กลางการเงินและการค้าให้ออกมามีหน้าตาเหมือน “มาริน่าเบย์” ในสิงคโปร์เลยทีเดียว
พาไปดูตรงเขต 2 ซึ่งกำลังก่อสร้างนั้นหลานสาวก็ยังนึกภาพไม่ค่อยออก ผมเลยพานั่งรถไปอีกสัก 20 นาที ไปดู เขตเมืองใหม่ของโฮจิมินห์ที่เขาสร้างเสร็จแล้วที่เขต 7 แค่พอเข้าเขต 7 เท่านั้นหลานพริมก็บอกว่าหนูเข้าใจแล้ว ว่าทำไมคุณลุงชอบเตือนว่าอีกหน่อยเวียดนามจะแซงเมืองไทย เพราะภาพเมืองใหม่ที่น้องพริมเห็นนั้นถ้าไม่บอก ว่าเป็นเวียดนามแล้วให้บอกว่าเป็นกรุงเทพหรือเป็นเมืองอื่นๆในประเทศที่เจริญแล้วได้ทั้งนั้นเพราะเราจะเห็น ภาพตึกออฟฟิศใหม่ๆใหญ่โต ศูนย์แสดงสินค้าสมัยใหม่ โรงแรมศูนย์การค้าร้านรวงดูทันสมัยมีดีไซน์ที่มีรสนิยม หมู่บ้านที่นี่ก็ดูดีมีราคาสูงถึงหลังละหลายสิบล้านบาท ถึงแม้จะเป็นเมืองใหม่แต่ต้นไม้กลับเขียวชะอุ่มบ่งบอกว่า เขารักต้นไม้และวางแผนเอาไว้ดี และที่น่าทึ่งสำหรับคนไทยก็คือเขาเอาสายไฟสายโทรศัพท์ลงใต้ดินหมด ดูแล้วสบายตาดีจังหลานสาวบอก
หลังจากชมเมืองใหม่แล้ว ผมก็พาหลานกลับเข้าสู่เขต 1 ที่เต็มไปด้วยรถราโดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์วิ่งกันขวักไขว่ สิ่งแรกที่หลานสาวผมสังเกตเห็นก่อนเลยก็คือผู้ใหญ่ทุกคนที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์มาใส่หมวกกันน็อคทุกคน ผมกับ หลานก็เลยมีเกมส์เล่นกันด้วยการแข่งกันมองหาคนไม่ใส่หมวกกันน็อคกันซึ่งหาได้ยากมาก เล่นเกมส์กันได้สัก พักหนึ่ง หลานสาวก็ถามว่าทำไมคนที่นี่เขาถึงใส่หมวกกันน็อค แต่คนไทยไม่ใส่ ทั้งที่กฎหมายบังคับให้ใส่ ผม ตอบว่าที่เวียดนามเขาฉลาดใช้หลายวิธีในการทำให้คนใส่หมวกกันน็อค ตอนรณรงค์ก่อนที่กฎหมายจะเริ่มบังคับ ใช้ เขาเปิดโอกาสให้คนเอาหมวกกันน็อคคุณภาพต่ำๆ ที่มีอยู่เอามาแลกหมวกกันน็อคคุณภาพดีเอาไปใช้แทน และเมื่อถึงเวลาที่กฎหมายเริ่มบังคับใช้ถ้าคนไหนไม่สวมหมวกกันน็อคแล้วโดนจับ ตำรวจเวียดนามจะปรับคิด เป็นเงินไทยราวๆ 500 บาท เมื่อคนผิดจ่ายค่าปรับแล้วแทนที่ตำรวจจะให้ใบเสร็จตำรวจกลับให้หมวกกันน็อคกับ คนที่โดนจับแทน หลังจากนั้นก็เริ่มจับและปรับกันอย่างจริงจัง ทำแบบนี้พักเดียวทุกคนใส่หมวกกันน็อคหมด


แต่เรื่องที่หลานสาว และคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้และไม่เคยสังเกตก็คือการขับรถและขี่มอเตอร์ไซค์ของคนที่นี่เขา จะขับขี่ตามความเร็วที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด ดังนั้นแม้รถและมอเตอร์ไซค์จะเต็มถนนจะวิ่งกันขวักไขว่ อย่างไรก็แล้วแต่เราจะเห็นอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกันน้อยมากๆ เพราะทุกคนจะขับขี่ด้วยความเร็วพอๆ กัน ตามๆ กันไป ภาพจึงเหมือนสายน้ำไหลไปเรื่อยๆ
พอเล่าให้ฟังหลานสาวก็เริ่มสังเกตตามแล้วก็เห็นจริงอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง น้องพริมก็เลยถามผมว่าทำไมคน เวียดนามถึงขับรถตามความเร็วที่กฎหมายกำหนดแต่คนไทยไม่ล่ะคะ? ผมเลยมีโอกาสอธิบายว่าในเวียดนามนั้น การขับขี่รถเร็วเกินกว่าความเร็วที่กฎหมายกำหนดนั้นจะโดนปรับตามความเร็วที่เกิน ยิ่งเร็วกว่าที่กฎหมาย กำหนดมากเท่าไหร่ก็จะโดนปรับมากขึ้นเท่านั้น การปรับมากขึ้นเป็นขั้นบันไดมีส่วนอย่างมากที่ทำให้คน เวียดนามไม่กล้าขับเร็วเกินความเร็วที่กฎหมายกำหนด ยิ่งรถรับจ้างสาธารณะเช่นรถบัสหรือรถทัวร์ก็ยิ่งกลัว กฎหมายข้อนี้ คุณลุงเคยนั่งรถทัวร์ที่เราเช่าเหมาคันในเวียดนาม ระยะทางแค่ 200 กิโลเมตรแต่ต้องนั่งกันนานกว่า 5 ชั่วโมงเพราะถึงช่วงไหนที่กำหนดความเร็วไว้ที่ 30 กิโลเมตร รถทัวร์ที่นั่งก็จะขับ 30 กิโลเมตรทันทีไม่มีเกิน
ส่วนเรื่องเมาแล้วขับนั้นผมเล่าให้หลานฟังว่ากฎหมายเวียดนามนั้นปรับหนักมาก น้องพริมเลยถามว่าหนักแค่ ไหนคะ? ผมเลยเฉลยว่าปรับกันเป็นหลักหมื่นบาทเลยนะ น้องพริมเลยถามต่อว่าแล้วคนเวียดนามมีเงินจ่ายค่า ปรับเหรอคะปรับแพงขนาดนี้? ผมเฉลยว่าไม่มีเงินพอหรอกปรับแพงขนาดนี้ คนเวียดนามเขาเลยกลัวเรื่องเมา แล้วขับขี่มาก แต่ก็มีนะที่บางคนดื่มแล้วขี่มอเตอร์ไซค์แต่โดนตำรวจจับได้ ถ้ามอเตอร์ไซค์คันที่ขี่นั้นเก่าและมี ราคาถูกกว่าค่าปรับ คนเวียดนามเขาจะใช้วิธีทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้กับตำรวจแล้ววิ่งหนีไปเลย เก็บเงินค่าปรับเอาไว้ ซื้อมอเตอร์ไซค์คันใหม่ดีกว่า น้องพริมหัวเราะลั่นแล้วบอกผมว่า “หิวแล้วล่ะ ถึงเวลาที่คุณลุงอาจารย์จะต้องพา หนูไปทานอาหารอร่อยๆ แล้วล่ะค่ะ”
ฉบับหน้าตามผมกับหลานไปทานอาหารอร่อยๆในเวียดนามกันนะครับ

[smartslider3 slider="9"]

NO COMMENTS