Home Mother & Care AEC HAPPY FAMILY AEC for Happy Family : ไหว้พระนอนในเมียนมา

AEC for Happy Family : ไหว้พระนอนในเมียนมา

0
380
[smartslider3 slider="7"]

AEC for Happy Family : ไหว้พระนอนในเมียนมา

AEC for Happy Family กับเกษมสันต์ / กรกฎาคม 2559
ไหว้พระนอนในเมียนมา

ตอนนี้เรื่องเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายกำลังโด่งดัง เราเลยได้เห็นลูกศิษย์เจ้าอาวาสออกมาแสดงการปกป้องเจ้า อาวาสที่เขารัก ในทัศนะของคนที่รักวัดพระธรรมกายก็เห็นว่าเห็นเรื่องปรกคิที่ลูกศิษย์ลูกหาจะออกมาปกป้อง เจ้าอาวาสที่เขาคิดว่าไม่ได้กระทำผิดอะไรแต่กลับโดนทางการรังแก ส่วนกลุ่มที่ไม่ชอบวัดพระธรรมกายก็จะมี ทัศนะว่าไม่น่าเชื่อว่าวัดนี้จะมีคนที่หลงใหลในตัวเจ้าอาวาสอย่างไม่ลืมลืมตามากขนาดนี้ เป็นเรื่องของคนที่ยืนอยู่ ในจุดที่ต่างกันและมองไปยังเรื่องๆเดียวกัน
ผมเคยเมื่อตอนเด็กๆก่อนที่จะมีวัดพระธรรมกายก็เคยฝึกสมาธิสายวัดปากน้ำจากแม่ชีรูปหนึ่งที่จังหวัดอ่างทอง เพราะคุณพ่อและคุณแม่ซึ่งเป็นคนธรรมะธรรมโมทั้งคู่พาผมไปฝึก ปรากฎว่าเมื่อเริ่มต้นฝึกสมาธิผมสามารถทำได้ ตามคำสอนทุกขั้นทุกตอนอย่างรวดเร็ว และสามารถนั่งได้นานเกินกว่าเด็กประถม 4 จะนั่งสมาธิได้ ดังนั้นไม่ว่า จะเป็นนรกสวรรค์ นางฟ้าเมวดาผมเคยเห็นมาหมดแล้ว มากไปกว่านั้นใครข้าวของหายผมก็บอกได้ว่าของชิ้น นั้นอยู่ ตรงไหน ถ้าผมเอาธาตุไฟใส่ใครมากๆคนๆนั้นก็จะร้อนรุ่มถึงกับเหงื่อแตกกันเลยทีเดียว แต่ถ้าผมเอาธาตุ น้ำใส่ใครเยอะๆคนผู้นั้นก็จะหนาวยะเยือก ทำกันให้เห็นกันหลายครั้งหลายหน แถมตอนกลางคืนบางคืนผม ยังต้องไปนั่งสมาธิให้หลวงพี่หลวงพ่อตามวัดต่างๆดูในระหว่างที่ผู้รู้ทางด้านการนั่งสมาธิแบบวัดปากน้ำไปสอนเพื่อให้เป็นตัวอย่างว่าดูสิแม้แต่เด็กน้อยยังนั่งสมาธิได้ หลวงพี่หลวงพ่อก็ควรจะนั่งสมาธิแบบเด็กน้อยคนนี้ได้


ความรู้สึกตอนนั้นเท่าที่จำได้ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องปรกติและรู้สึกว่าเรานี่ก็มีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย ผมก็เลยฝึกสมาธิเรื่อย มา หลังจากเร่ร่อนย้ายตามคุณพ่อซึ่งเป็นข้าราชการไปหลายจังหวัดผมก็ถึงเวลาต้องมาเรียนต่อที่โรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัยในกรุงเทพ ซึ่งการที่ผมสอบติดโรงเรียนชั้นนำขนาดนี้ทั้งๆที่ต้องเรียนในต่างจังหวัดมาโดย ตลอดแถมยังต้องย้ายโรงเรียนตามคุณพ่อบ่อยๆ ก็ต้องขอบคุณการมีสมาธิซึ่งได้มาจากการฝึกนั่งสมาธินั่นเอง
ผมเองถ้าคุณครูสอนอะไรในห้องเรียนแล้วผมฟังอย่างตั้งใจล่ะก็ ผมจะจำได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แทบจะไม่ต้อง อ่านหนังสือก่อนสอบอีกและถ้าผมได้อ่านหนังสือเพิ่มเติมผมก็จะจับใจความได้อย่างรวดเร็วและจะสามารถจดจำใจความสำคัญได้หมดในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ผมเป็นเด็กที่เรียนดีมากสอบได้ที่ 1 เกือบตลอดเวลาจะพลาด บ้างก็ตอนที่ต้องย้ายโรงเรียนในช่วงเดือนตุลาคมตามคุณพ่อนั่นเอง แต่ก็จะสอบได้ที่ต้นๆของห้องแบบไม่เกินที่ สองหรือที่สาม หลังจากนั้นก็จะกลับมาสอบได้ที่หนึ่งเสมอ
เมื่อเข้ามาเรียนในกรุงเทพผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมะของท่านพุทธทาสสองเล่มคือ “คู่มือมนุษย์” และ “แก่นพุทธศาสน์” หลังจากได้อ่านหนังสือสองเล่มนี้ผมจึงพบว่าสมาธิแบบที่ผมฝึกมานั้นประโยชน์ที่แท้จริง อยู่ที่สมาธิที่ผมมีในทุกขณะจิตและในทุกขณะกรกระทำ ส่วนเรื่องนรกสวรรค์และอิทธิฤทธิทั้งหลายนั้นหาใช่ “คำสอนที่แท้จริง” ของศาสนาพุทธไม่ แต่มันเป็นแค่ “กระพี้” ที่คนไทยส่วนมากยังหลงใหลอยู่ หลังจากนั้น เป็นต้นมาผมก็เลยเลิกนั่งสมาธิแบบวัดปากน้ำเพื่อที่จะแสวงหาสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย แต่ผมยังฝึกนั่งสมาธิ ต่อไปเพื่อจะฝึกฝนให้ตนเป็นคนมีสมาธิเท่านั้น
หากผมไม่ได้อ่านหนังสือของม่านพุทธทาสสองเล่มนั้นป่านนี้คุณแม่คุณพ่ออาจจะเห็นผมเป็นแกนนำศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกายอยู่ก็ได้นะครับ ที่เขียนเล่าความหลังมาถึงตรงนี้ก็เพื่อจะบอกว่าคนเราเมื่อได้เรียนอะไรได้ ศึกษาอะไรก็มักจะหลงใหลได้ปลื้มไปกับสิ่งนั้น แต่ถ้าไม่รู้จักอ่านรู้จักศึกษาให้รอบด้านและไม่ได้ฝึกคิดให้ได้ ด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ โอกาสที่ลูกรักที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่หลงใหลในกระพี้ของศาสนา เช่นเรื่องไสยสาสน์ เครื่องรางของขลัง โชคลางดวงชะตาหรือสิ่งมหัศจรรย์ลวงโลกทั้งหลายก็จะมีเยอะหน่อย


ประเทศที่คุณแม่คุณพ่อน่าจะได้ศึกษาให้มากขึ้นและหาโอกาสพาลูกรักไปเที่ยวบ่อยๆเพื่อลูกรักจะได้เติบโตขึ้น มาเป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้ซึ่งสามารถเข้าถึงแก่นของศาสนาพุทธได้ไม่ใช่อินเดียแต่เป็นเมียนมานะครับ เพราะ คนเมียนมานั้นต้องบอกว่าเขาเป็นพุทธตัวพ่อที่แท้จริง ทุกวันพระคนเมียนมาส่วนใหญ่จะต้องไปที่โรงธรรมะที่ เรียกเป็นภาษาเมียนมาว่า “ดาหม่ะโหย่ว” กันแต่เช้า เพื่อจะไปฟังเทศน์ในตอนเช้าและมักจะถือศีลแปดศีลสิบกัน อีกด้วย ในช่วงเข้าพรรษาคนเมียนมาเขาจะไม่จัดงานมงคลอะไรเลย ไม่จัดงานแต่งงาน ไม่ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ หรือเปิดบริษัทใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากจะรบกวนเวลาศึกษาพระธรรมของพระสงฆ์ในช่วงเข้าพรรษา เห็นมั้ย ครับพุทธตัวพ่อเขาคิดละเอียดกันขนาดนี้ คนเมียนมาที่นิยมทานเจก็ถือโอกาสทานเจกันในช่วงเข้าพรรษานี่เอง
เวลาไปไหว้พระหรือไหว้เจดีย์ คนเมียนมาเขาจะไม่อธิษฐานขอโน่นนี่นั่นจากพระหรือพระเจดีย์นะครับ แต่เขา จะไหว้และสวดมนต์ นั่งสมาธิเท่านั้น เวลาอยากจะขออะไรคนเมียนมาเขาจะไปขอกับ “ผี” หรือเจ้าที่ เจ้าทาง อย่างเช่น เทพทันใจหรือเทพกระซิบที่คนไทยเรารู้จักดีนั่นแหล่ะ ที่น่าสนใจก็คือคนเมียนมาเขาจะไปวัดไปพระ เจดีย์บ่อยๆเพื่อไปสวดมนต์นั่งสมาธิหรือนั่งเล่นนอนเล่นแบบที่ฝรั่งไปนั่งเล่นนอนเล่นในสวนสาธารณะนั่นเอง
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือคนเมียนมาเขาไม่แขวนพระเครื่องหรือแขวนเครื่องรางของขลังอะไรเลย เขาถือของ เหล่านี้ไม่ใช่ “แก่น” แต่เป็น “กระพี้” ของพุทธศาสนา แต่ที่เราเห็นมีเครื่องรางของขลังหรือรูปปั้นแกะสลักเป็น เทพทันใจวางขายในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆนั้น เขาบอกว่าก็คนไทยเราด้วยกันนี่แหล่ะที่ไปสอนให้เขาทำเอาไว้ขาย คนไทยซึ่งยังยึดติดเรื่องพวกนี้อยู่นั่นเอง คนเมียนมาเล่าให้ผมฟังว่ามีหมอดูไทยคนหนึ่งไปประกอบพิธีเชิญดวง วิญญาณในเมียนมา เมื่อทางการรู้เข้าเขาถึงกับลงโทษด้วยการแบนไม่ให้เข้าประเทศตั้งหลายปีโทษฐานไปทำ สิ่งไร้สาระในประเทศเขา


ฉบับนี้ผมเลยจะขอแนะนำพระนอนสององค์ในเมียนมาที่คุณแม่คุณพ่อน่าจะพาลูกรักไปไหว้ พระนอนองค์ แรกนี่คนไทยเรียกกันว่า “พรอนอนตาหวาน” มีชื่อเป็นทางการคือ “พระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตจี Chauk Htat Gyi” พระนอนตาหวานนี้อยู่ที่ “หยั่นโกว่น” หรือ “ย่างกุ้ง” นะครับ แม้ว่าพระนอนองค์นี้จะยังใหม่อยู่คือมีอายุประมาณ 50 ปีแต่ก็ถือเป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ที่ใหญ่ที่สุด ยาวเกือบ 70 เมตรและมีความงดงามที่สุดของ เมียนมาเลยทีเดียว
ลักษณะเด่นของพระนอนตาหวานอยู่ที่ใบหน้าอันงดงามตามแบบศิลปะของเมียนมา ปากสีชาด เปลือกตาสีฟ้า ขนตางอน และยาว ส่วนคิ้วนั้นก็โก่งรับกันได้พอดีกับดวงตาที่หวานคมเป็นพิเศษ เพราะดวงตานั้นเป็นแก้วที่สั่ง ผลิตเป็นพิเศษตรง จาก ประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว ลายจีวรก็งดงามเพราะทำได้ไหวพริ้วดูสมจริงมากๆ เมื่อเดินมาทางปลายเท้าเราก็จะได้เห็นภาพ มงคล 108 ประการที่แกะสลักไว้อย่างงดงามไว้ที่ฝ่าเท้า งามขนาดที่แทบจะทุกคนที่เข้ามากราบจะต้องอดใจไม่ได้ที่จะ หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้เลยทีเดียว
พระนอนอีกองค์ที่ควรจะหาโอกาสไปไหว้ก็คือ “พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว Shwethalyaung Buddha” ซึ่งอยู่ที่เมืองบะโกหรือ “หงสาวดี” นั่นเอง พระนอนองค์นี้มีอายุเก่าแก่ถึง 1,200 ปีเป็น ศิลปะแบบมอญ ในอดีตมีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งเมืองหงสาวดีถูกทิ้ง ให้ร้าง พระนอนก็เลยถูกทิ้งไว้โดยไม่มี การดูแลที่เหมาะสม จนกระทั่งถึงปีพ.ศ. 2491 ที่เมียนมาได้รับเอกราช จึงได้มีการบูรณะพระนอนองค์นี้กันขึ้นมาใหม่ จนปัจจุบันได้กลายเป็นเสมือนสัญญลักษณ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองคู่กับพระมหาเจดีย์ชเวมอดอร์
พระนอนองค์นี้มีความยาว 55 เมตร ลักษณะเด่นก็คือปลายเท้าวางไม่เสมอกัน หมายความว่าเป็นพระนอน ที่สร้างให้เหมือนกับพระพุทธเจ้าขณะที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่เป็นวันสุดท้ายก่อนที่พระองค์ท่านจะเสด็จ ปรินิพพานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งลักษณะการวางเท้าแบบนี้เราจะไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก ที่โดดเด่นก็คือปากของ พระนอนองค์นี้ซึ่งๆดูๆไปจะเหมือนกำลังยิ้มเล็กๆ ใบหน้าก็เลยดูเป็นพระที่มีความใจดีมีเมตตา คนไทยก็เลยตั้ง ชื่อให้เป็นพระนอนยิ้มหวานเสียเลย

[smartslider3 slider="9"]

NO COMMENTS