AEC for Happy Family : วันเด็กใน AEC

0
383

AEC for Happy Family : วันเด็กใน AEC

AEC for Happy Family กับ เกษมสันต์ (กุมภาพันธ์ 2558)

วันเด็กใน AEC

ในปี พ.ศ. 2498 องค์การสหประชาชาติได้ชักชวนประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกให้จัดงานวันเด็กเพื่อ กระตุ้นให้ทุกประเทศสนใจเรื่องการคุ้มครองสิทธิในชีวิต สุขภาพและสิทธิด้านการศึกษาของเด็กและเพื่อเป็น การเฉลิมฉลอง ให้แก่เด็กๆทั่วโลก ไทยเราก็เลยจัดงานวันเด็กครั้งแรกในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมตามคำ เชิญชวนพร้อมๆ กับฟิลิปปินส์และบรูไน

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไทยเราก็จัดงานวันเด็กในทุกๆวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม แม้ว่าในปีพ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นปีที่องค์การสหประชาชาติได้เชิญชวนประเทศต่างๆให้จัดงานวันเด็กสากล หรือ Universal Children’s day กันในวันที่ 20 พฤศจิกายน เพราะเป็นวันที่ประกาศปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก บรูไนและฟิลิปปินส์จึงได้เปลี่ยนการ จัดงานวันเด็กจาก วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมมาเป็น 20 พฤศจิกายน

ส่วนไทยเรายังคงจัดงานวันเด็กในวันจันทร์แรกของตุลาคมเหมือนเดิมจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2506 รัฐบาลถึงค่อย นึกออกว่าเดือนตุลาคมนั่นน่ะยังเป็นหน้าฝนกันอยู่ เด็กมางานลำบากเปียกเฉอะแฉะ รัฐบาลก็เลยเลือกวันใหม่ โดยเลือกเอาวันจันทร์ที่สองของเดือนมกราคม ให้เป็นวันเด็กแทนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 เป็นต้นมา

นอกจากองค์การสหประชาชาติแล้วก็ยังมีอีกหนึ่งองค์กรที่กำหนดให้มีวันสำคัญของเด็กก็คือสภาสตรีประชาธิป ไตยนานาชาติ (Women’s International Democratic Federation) ซึ่งกำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายนของทุกปีให้เป็น วันเด็กนานาชาติ หรือ International Children’s Day  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 เป็นต้นมา ก่อนองค์การสหประชาชาติ เสียอีก ซึ่งประเทศลุ่มแม่น้ำโขงอย่าง สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชาและเวียดนาม นั้นใจตรงกันคือเลือกที่จะ จัดงานวันเด็กกันในวันนี้

ที่ สปป.ลาว เขาเรียกวันเด็กของเขาอย่างน่ารักเลยว่า “วันเด็กน้อยสากล”  ที่น่าสนใจก็คือเขายังกำหนดให้ทุกวันที่ 1 มิถุนายนเป็นวันปลูกต้นไม้แห่งชาติของเขาด้วย ดังนั้นในวันเด็ก นอกจากเด็กๆจะสนุกสนาน กับกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การแข่งขันกีฬา มีการแจกของเล่น อุปกรณ์การเรียน รวมไปถึงการได้ รับการฉีดวัคซีน และหยอดยาแล้ว  เด็กๆใน สปป.ลาวยังจะได้ร่วมกันปลูกต้นไม้ซึ่งก็ถือเป็นกิจกรรมสำคัญด้วย

ส่วนที่เวียดนามนอกจากเขาจะจัดวันเด็กในวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปีแล้ว เขายังมีเทศกาลที่พ่อแม่ต้องให้เวลาให้ กับเด็กๆชาวเวียดนามเป็นพิเศษอีกด้วย นั่นก็คือ เทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งจะมีขึ้นทุกๆ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ตาม ปฏิทินจันทรคติ  ชาวเวียดนามเขาถือว่าวันไหว้พระจันทร์หรือ “เต็ด ตรุง ตรู” เป็นช่วงเวลาที่ต้องให้ความสำคัญ กับเด็กๆ โดยมาจากแนวความคิดในสมัยก่อนว่าในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว พ่อแม่มักจะทอดทิ้งลูกๆ ให้อยู่บ้านตามลำพัง ไม่ค่อยได้เอาใจใส่มากนักเพราะต้องไปทำงานในไร่ในนา ดังนั้นเมื่อหมดฤดูเก็บเกี่ยว พ่อแม่จึงต้องหาวิธีชดเชย เวลาที่ไม่ได้อยู่กับลูกๆ

กิจกรรมต่างๆในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ของชาวเวียดนาม จึงมีเด็กๆ เป็นศูนย์กลาง เช่น มีการเชิดสิงโต การให้เด็กๆประดิษฐ์และจุดโคมซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แทนอนาคตของเด็กๆ ยิ่งโคมลอยสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้คะแนนในชั้นเรียนสูงมากเท่านั้น โคมที่ฮิตที่สุดในเทศกาลนี้คือโคมรูปดาว 6 แฉก นอกจากนี้ ทุกโรงเรียนในเวียดนาม ก็จะมีการจัดประกวดเต้นรำพื้นเมือง เพื่อให้เด็กๆได้แต่งตัวสวยๆ ได้ทำกิจกรรม สนุกสนานและมีรางวัลเป็นทุนการศึกษาให้เด็กๆอีกด้วย

ที่อินโดนีเซีย เขาเลือกเอาวันที่ 23 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันเด็กเพราะเป็นวันที่ประธานาธิบดีซูฮาร์โต ได้ประกาศกฎหมายสวัสดิภาพเด็ก ขณะที่มาเลเซียเลือกเอาวันเสาร์สุดท้ายของเดือนตุลาคมให้เป็นวันเด็ก โดยการฉลองวันเด็กของมาเลเซียนั้นนิยมฉลองกันโรงเรียนมากกว่าที่จะฉลองกันนอกโรงเรียน โรงเรียนต่างๆ จะมีการจัดกิจกรรมให้เด็กๆฉลองกันมากมายเลยทีเดียว

ที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเครียดสูงประเทศหนึ่งในโลก เลือกเอาวันศุกร์แรกของเดือนตุลาคม ให้เป็น วันเด็ก ทำให้วันเด็กของสิงคโปร์ทุกปีเป็นวันหยุดติดต่อกันสามวัน คือวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ทำให้เด็กๆสิงคโปร์ ได้หยุดเรียนต่อเนื่อง พ่อแม่ก็จะได้ใช้เวลาอยู่กับเด็กๆ และพาลูกๆ ไปเที่ยวในสถานที่ ท่องเที่ยวต่างๆซึ่งก็จะจัด กิจกรรมวันเด็กกันอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่เฉพาะวันเด็กเท่านั้นที่สิงคโปร์เขาตั้งใจทำให้เป็นวันหยุดต่อเนื่องแต่ยัง เลือกเอาวันศุกร์แรกของเดือนกันยายนทุกปีเป็นวันครูอีกด้วย ดังนั้นครูและนักเรียนจึงมีวันหยุดต่อเนื่องสามวัน ทุกสุดสัปดาห์แรกของเดือนกันยายนและเดือนตุลาคมของทุกปี

กลับมาที่เมืองไทย มาดูคำขวัญวันเด็กกันบ้างซึ่งน่าสนใจมากเพราะสะท้อน ถึงแนวคิดผู้ใหญ่ในบ้านเมืองในแต่ ละยุคแต่ละสมัย เช่นในปี พ.ศ. 2499  ซึ่งเป็นปีที่สองของการจัดงานวันเด็กแต่เป็นปีแรกที่มีคำขวัญให้เด็ก จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้คำขวัญว่า “จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม” ต่อมาในสมัยจอมพลสฤษดิ์ คำขวัญวันเด็กทั้ง 5 ปี เริ่มต้นด้วยประโยคเดียวกันหมดว่า “ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า……” แล้วก็ต่อท้ายด้วยคำสั่งแบบทหารหาญเลยว่า “ …จงเป็นเด็กที่รักก้าวหน้า …จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด …จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย ….” ในแต่ละปี ส่วนในสมัยจอมพลถนอม ซึ่งมีโอกาสมอบคำขวัญวันเด็กถึง 10 ปี มีคำขวัญในปี 2516 ที่คนน่าจะจำได้มากที่สุด คือ “เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ”  ซึ่งตอนหลัง พลเอก เกรียงศักดิ์ ก็ได้เอาคำขวัญดังกล่าวมาปัดฝุ่น และแก้ไขเล็กน้อย มอบให้เด็กในปี 2521 ว่า “เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง”

นายกฯไทยสมัยต่อมาแต่ละสมัยต่างก็พยายามที่จะหาคำที่เหมาะสม  คำใหม่ๆ ที่พวกเขาคิดว่าสังคมไทยกำลัง “ขาด” มาใส่ในคำขวัญวันเด็ก  เช่นในสมัยพลเอกเปรมนั้นเป็นสมัยแรกที่มีคำประเภท “ซื่อสัตย์ คุณธรรมและ นิยมไทย” ที่แปลกใหม่สมัยนั้นก็คือพลเอกเปรมเป็นนายกฯคนแรกที่แสดงความประหยัดให้เด็กๆ ได้เห็นด้วยการ ใช้คำขวัญซ้ำกันสามปีซ้อน “นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม” ในช่วงปีพ.ศ. 2529-2531 ส่วนในสมัยนายกฯชวนนอกจากจะใช้คำใหม่หมดทั้งสามคำในปีพ.ศ. 2536 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขาได้เป็นนายกฯ คือ “ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม” แล้วนายกฯชวนยังแสดงความประหยัดเช่นกันคือให้ คำขวัญหนึ่งคำขวัญใช้งานได้ถึงสองปีถึงสามรอบ ส่วนนายกฯ ทักษิณซึ่งเป็นคนชอบ “คิดนอกกรอบ” คำขวัญก็เลยเขียน “นอกกรอบ” ไม่เน้นการมีสัมผัสเสียง และจะสะท้อนความเป็นตัวตนของ นายกฯทักษิณ มาก คือเน้น เรื่อง  “คิด อ่านและกล้า” ที่ไม่เคยมีนายกฯ คนไหนอยากให้เด็กไทยเป็นมาก่อน สมัยนายกฯอภิสิทธิ์ ก็เลือกที่จะใช้คำใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร คือคำว่า “จิต”   “…จิตบริสุทธิ์ …   มีจิตสาธารณะ” และเน้นเรื่อง “คิด” เหมือนนายกฯทักษิณ ในสมัยนายกฯยิ่งลักษณ์ ก็ได้เริ่ม ใช้คำว่า “ปัญญา” ซึ่งก็ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน อาทิ “…มีความรู้ คู่ปัญญา..” ในปี 2555 ส่วนปี 2556 ที่ผ่านมาเก๋ไก๋ สุดเพราะมีการใช้คำว่า “อาเซียน” ในคำขวัญ ที่ว่า “รักษาวินัย ใฝ่ความรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน” ถือว่าเป็นปีแรกที่คำขวัญ วันเด็กเริ่มก้าวไกลไปสู่ภาคต่างประเทศ ส่วนคำขวัญปีล่าสุดของนายกฯประยุทธ์           “ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต” นั้นจะออกแนวเรโทรย้อนยุคไปแนวของพลเอกเปรม เลยทีเดียว

[smartslider3 slider="9"]