เมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา คนมาเลเซียจำนวนมากได้ออกมารวมตัวกันใส่เสื้อเหลืองสดเพื่อขับไล่นายกฯคนปัจจุบัน นาจิ๊บ ราซัค วันนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักองค์กรที่เป็นแกนนำในการชุมนุมครั้งนี้ที่มีชื่อว่า Bersih ver 2.0
Bersih เป็นภาษามลายูออกเสียงว่า “เบอร์เสะ” ซึ่งมีความหมายว่า “สะอาด” องค์กรนี้ถูกก่อตั้งมาเพื่อรณรงค์ให้เกิดการ เลือกตั้งที่สะอาดและเป็นธรรม เมื่อตอนก่อตั้งใหม่ๆ เบอร์เสะนั้นมีทั้งหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคประชาชน ร่วมกันทำงาน ต่อมาได้มีการปรับปรุงโครงสร้างโดยการตัดเอาหน่วยราชการออก เหลือแต่ภาคประชาชน คนทำงาน ที่นั่นจึงเรียกตัวเขาเองว่า Bersih ver 2.0 ซึ่งหมายถึงเบอร์เสะยุคที่ 2 ยุคที่มีแต่ภาคประชาชนดำเนินการ
แกนนำสูงสุดของเบอร์เสะ คือ นางมาเรีย ชิน อับดุลลาห์ ซึ่งผมได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์มาเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนการชุมนุมจะเริ่มต้นขึ้นได้เล่าให้ผมฟังว่าตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเป็นต้นมา เบอร์เสะได้จัดให้มีการชุมนุมเพื่อรณรงค์ให้ มาเลเซียมีการเลือกตั้ง ที่สะอาดและเป็นธรรมมาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2550 2554 และ 2555 ดังนั้นการชุมนุม เมื่อวันที่ 29 และ 30 สิงหาคมที่ผ่านมาจึงเป็นการชุมนุมครั้งที่ 4 ทางเบอร์เสะจึงได้ทำเสื้อยืดสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่ใช้มา ตั้งแต่เริ่มต้นรณรงค์ครั้งแรกๆและสกรีน คำว่า “Bersih 4” ที่มีความหมายว่าเป็นการชุมนุมครั้งที่ 4
ช่วงที่ผมไปสังเกตการณ์การเตรียมการเมื่อวันพุธที่แล้วนั้น ผมเห็นคนมาเลเซียทุกเชื้อชาติ ทั้งคนภูมิบุตรซึ่งเป็นคนมุสลิม พื้นเมืองที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ คนมาเลย์เชื้อสายจีนและเชื้อสายอินเดีย ต่างก็ทะยอยมาซื้อเสื้อยืดเหลืองกัน ลักษณะการแต่งเนื้อแต่งตัวบ่งบอกชัดเจนว่าคนที่มาซื้อเสื้อยืดส่วนใหญ่เป็นคนชนชั้นกลาง มีการมีงานทำกันเป็นเรื่อง เป็นราว ตรงกับที่มาเรียบอกกับผมว่าคนที่สนับสนุนเบอร์เสะส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นกลางในมาเลเซีย ในมุมหนึ่งก็เป็น จุดแข็งเพราะคนกลุ่มนี้มีความคิดเป็นของตัวเองไม่มีใครไปหลอกปั่นหัวได้ง่าย แต่อีกมุมหนึ่งก็จะเป็นจุดอ่อนเพราะคน กลุ่มนี้จะไม่สามารถมาชุมนุมข้ามวันข้ามคืนได้นานจนเกินไป เพราะทุกคนต่างก็มีงานต้องทำ
เบอร์เสะ 4 จึงเลือกที่จะชุมนุมต่อเนื่องเพียง 34 ชั่วโมงจากบ่ายสองของวันเสาร์และยาวไปถึงเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ หลังจากนั้นจะแยกย้ายสลายตัวกลับไปทำงานกันตามปรกติ เปิดโอกาสให้รัฐบาลได้จัดงานฉลองเอกราชปีที่ 58 อย่าง เต็มที่ ผมถามมาเรียว่าการชุมนุมแบบสงบนั้นไม่น่าจะมีพลังมากพอที่จะทำให้นายกฯนาจิ๊บ ราซัค ลาออกตามที่ทางกลุ่ม ต้องการได้ มาเรียตอบผมได้อย่างน่าประทับใจครับว่า แม้ทางกลุ่มจะรู้ว่าสถานะนายกฯนาจิ๊บ ราซัค ทางการเมืองนั้นยัง ค่อนข้างแข็งแรงอยู่ การชุมนุมอย่างสงบเพียง 34 ชั่วโมงจะไม่สามารถกดดันให้นาจิ๊บลาออก แต่มาเรียก็เชื่อในพลัง บริสุทธิ์ของประชาชนมาเลเซีย ว่าถ้าชุมนุมไปเรื่อยๆอย่างสงบเป็นระยะ มาเรียคาดว่าน่าจะกดดันให้นาจิ๊บลาออกได้ ภายใน 12 – 18 เดือน
มาเรียบอกกับผมว่าการที่นาจิ๊บไม่เคยอธิบายกับประชาชนว่าที่มีข่าวว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีของนาจิ๊บสองบัญชีในสิงคโปร์ ราวๆ 700 ล้านดอลล่าร์สหรัฐหรือราวๆสองหมื่นกว่าล้านบาทนั้น เป็นความจริงหรือไม่? เป็นเงินที่โอนมาจากที่ไหน? ทำไมนาจิ๊บถึงมีบัญชีส่วนตัวในสิงคโปร์ เรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการขาดทุนอย่างมโหฬารเกือบ 4 แสนล้านบาทของ กองทุนเพื่อการพัฒนามาเลเซียที่นาจิ๊บเป็นประธานบริหารอยู่หรือไม่? และเม็ดเงินต่างๆเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการซื้อเสียง ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาหนือไม่? นอกจากจะไม่ตอบคำถามเหล่านี้แล้ว นาจิ๊บยังได้ปลดและโยกย้ายรองนายกฯ รัฐมนตรีและข้าราชการทุกคนที่ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้อีกด้วย ทั้งหมดนี้จะทำให้คนมาเลเซียทุกเชื้อชาติ ออกมาชุมนุมมากกว่าการชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเราก็ได้เห็นกันแล้วว่ามาเรียคาดการณ์ได้ถูกต้อง
ไม่น่าเชื่อนะครับว่าโครงการ “1 มาเลเซีย” ที่นาจิ๊บพยายามจะทำให้คนมาเลย์ต่างเชื้อชาติรักสามัคคีกัน จะมาสำเร็จ ก็ตอนที่คนทุกเชื้อชาติต่างมารวมตัวกันขับไล่ตัวนาจิ๊บนี่เอง