Amazing AEC – อะเมซิ่งมหาตมะคานธี (3)

0
535



การสังหารหมู่คนอินเดียในเมืองอำมริสาในปี พ.ศ. 2462 ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่าอินเดียจะต้องนองเลือดในไม่ช้า
คานธีรู้ซึ้งดีถึงความเคียดแค้นที่คนอินเดียมีต่อคนอังกฤษเขาจึงประกาศต่อคนอินเดียว่า “พวกเราจะไม่ทำอย่างที่คนอังกฤษ ทำกับเราและเราต้องแสดงให้คนอังกฤษได้เห็นว่าพวกเราได้ก้าวข้ามความรู้สึกเกลียดชัง คนอังกฤษไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นเพื่อน และที่สำคัญต้องทำให้คนอังกฤษรู้สึกว่าพวกเขาเองก็ต้องการที่จะถูกปลดปล่อยเหมือนๆ กับคนอินเดีย
คานธีได้ใช้กุศโลบายทำตัวติดดิน ละทิ้งความสุขความสบายส่วนตัวเพื่อให้คนอินเดียส่วนใหญ่รู้สึกว่าคานธีเป็นคน พวกเดียวกับเขา นอกจากนี้คานธียังได้ชักชวนให้คนอินเดียเลิกใส่เสื้อผ้าแบบอังกฤษแล้วหันมาใส่เสื้อผ้าแบบอินเดียแทน และเขาได้ใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมงเพื่อปั่นด้ายด้วยตัวเอง ด้วยการวัตรปฏิบัติของคานธีที่สม่ำเสมอและติดดินเช่นนี้ คานธีจึงสามารถเอาชนะใจคนอินเดียส่วนใหญ่ได้อย่างมาก

ในปี พ.ศ. 2473 เมื่ออังกฤษออกกฎหมายใหม่เก็บภาษีเกลือและห้ามคนอินเดียทำหรือค้าขายเกลือ คานธีจึงได้วางแผน ต่อต้านกฎหมายใหม่นี้ด้วยการเดินเท้าไปยังนาเกลือริมมหาสมุทร การเดินเท้าครั้งนี้ของคานธีนอกจากจะสามารถสร้าง ความสนใจให้กับคนอินเดียเข้ามาร่วมเดินกับเขาหลายแสนคนแล้ว ยังสามารถทำให้สื่อมวลชนต่างชาติสนใจเข้ามาทำข่าว การเดินครั้งนี้อีกด้วย เมื่อคานธีไปถึงชายทะเลและหยิบเกลือขึ้นมาแล้วประกาศว่าด้วยเกลือหยิบมือนี้เขาและคนอินเดีย ขอประกาศต่อต้านการปกครองของคนอังกฤษ ซึ่งคนอินเดียทั่วประเทศก็ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นทำและค้าขายเกลืออัน เป็นสัญญลักษณ์ถึงการต่อต้านอังกฤษกันทั่วประเทศ ถึงแม้ว่าคานธีจะโดนทุบตีและโดนจับจากการเดินครั้งนั้น แต่สุดท้ายแล้วอังกฤษซึ่งไม่สามารถต้านทานแรงกดดันจากสื่อนานาชาติได้ จึงต้องยอมปล่อยคานธีในที่สุด
จากนั้นเป็นต้นมาคานธีใช้เวลาอีกสิบกว่าปีเพื่อเรียกร้องและเจรจากับอังกฤษเพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับอินเดีย จนกระทั่ง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2485 คานธีที่สุขภาพเริ่มอ่อนแอเพราะอายุสูงถึง 73 ปีแล้ว ก็ได้ประกาศเรียกร้องเอกราชอีกครั้งและ ก็โดนจับติดคุกอีก แต่แรงกดดันจากคานธีและชาวอินเดียที่เรียกร้องเอกราชก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายอังกฤษก็รู้ว่าไม่ สามารถจะปกครองอินเดียได้อีกต่อไป อังกฤษจึงได้คืนเอกราชให้กับอินเดียในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2490 แต่ขณะเดียว กันอังกฤษก็ได้แยกชนชาวมุสลิมให้ไปก่อตั้งรัฐปากีสถาน ซึ่งการแบ่งแยกคนฮินดูและคนมุสลิมเช่นนั้นได้กระพือความ แตกแยกระหว่างคนสองเชื้อชาติขึ้นมาอย่างมาก และก็สร้างความร้าวรานให้กับคานธีเป็นอย่างมากเพราะเขารู้สึกผิดที่ไม่ สามารถสร้างความสมานฉันท์ระหว่างคนสองเชื้อชาตินี้ได้
ต่อมาเมื่อความแตกแยกและการฆ่าฟันกันระหว่างคนฮินดูและมุสลิมได้ขยายวงกว้างออกไปทั่วประเทศ คานธีจึงใช้วิธี ออกเดินเท้าเปล่าไปทุกเมืองที่มีความขัดแย้ง เดินเท้าจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งเพื่อยุติความรุนแรงและการเข่นฆ่ากัน และหลายครั้งที่คานธีใช้วิธีอดอาหารประท้วงความรุนแรงที่ทวีมากขึ้นทุกที ต่อมาคานธีจึงได้เริ่มพิธีสวดมนต์ประจำวัน เพื่อสร้างความสันติให้เกิดขึ้น จนกระทั่งวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 ขณะที่คานธีในวัย 78 ปีเดินเข้ามาในสวนในนิวเดลี เพื่อนำการสวดมนต์ประจำวัน ชายหนุ่มหัวรุนแรงคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วยิงปืนใส่คานธี 3 นัด คานธีได้แต่นิ่งสงบ พนมมือ และสวดมนต์เบาๆจนเขาสิ้นใจไปในที่สุด
การตายของคานธีช็อคคนทั้งประเทศ และทำให้คนอินเดียตื่นจากความบ้าคลั่ง ความรุนแรงทั้งหลายยุติลงเพียงชั่วข้ามคืน คนอินเดียหลายล้านคนต่างหลั่งไหลมาเคารพร่างที่ไร้วิญญาณของคานธีด้วยน้ำตาที่นองหน้า ประเทศอินเดียได้รับเอกราช คนอินเดียถูกปลดปล่อยจากจิตใจที่เต็มไปด้วยความรุนแรงเคียดแค้นจากการปฏิบัติตนตามหลักอหิงสาและด้วยชีวิตของ คานธีโดยแท้ คนส่วนใหญ่จึงได้เรียกเขาว่า “มหาตมะคานธี” ซึ่งแปลว่าคานธีผู้มีจิตใจอันสูงส่ง

มาร์ติน ลูเธอร์คิงส์ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนได้ยกย่องคานธีว่า “พระเยซูมอบคำสอน คานธีมอบวิธีปฏิบัติ” ขณะที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์บอกว่า “ คนในอนาคตจะไม่มีวันเชื่อว่า ในโลกนี้มีเคยคนแบบคานธีอยู่จริงๆ”

[smartslider3 slider="9"]