เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา 20 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดตามเอกสารราชการปีที่ 90 ของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของมาเลเซีย ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด แต่วันเกิดจริงคือ 10 กรกฎาคม ปีเดียวกัน
บิดาของมหาเธร์ เป็นคนเชื้อสายอินเดียขณะที่มารดาของเขาเป็นคนมาเลย์แท้ๆ หน้าตาของมหาเธร์จึงออกแนวคมๆ มาก กว่าคนมาเลย์ทั่วๆไป แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะ แต่เพราะบิดาเป็นครูจึงสั่งสอนให้ มหาเธร์ตั้งใจเรียน ทำให้ เขากลายเป็นเด็กนักเรียนที่ขยันขันแข็ง เรียนเก่งกว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ตอนเกิดสงคราม โลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นเข้ามารุกรานนั้น มหาเธร์ต้องออกมาเร่ขายกาแฟและข้าวเม่าทอดเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว เมื่อสงครามยุติเขาก็กลับมาศึกษาต่อและด้วยผลการเรียนที่เป็นเลิศ เขาจึงได้ไปเรียนต่อด้านแพทย์ที่สิงคโปร์ซึ่งเป็นจุด ที่ทำให้เขาพบรักกับภรรยายของเขาซึ่งก็เป็นนักศึกษาแพทย์เหมือนเขา
มหาเธร์เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นหมอในโรงพยาบาลของรัฐบาลก่อนที่จะแต่งงานในปี พ.ศ 2499 แล้วเขาก็ออกมาตั้ง คลีนิคส่วนตัวในบ้านเกิดของเขาในรัฐเคดะห์ จนมีฐานะร่ำรวยสามารถไปลงทุนในธุรกิจต่างๆได้ มหาเธร์นั้นมีความฝักใฝ่ ในการเมืองมาตั้งแต่เป็นนักเรียน เคยร่วมประท้วงญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนั้นเมื่อฐานะดีขึ้นและมีโอกาส มหาเธร์จึงเริ่มเข้ามามีบทบาทในฐานะสมาชิกพรรคอัมโนที่มีบทบาทเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ความตรงไปตรงมาและกล้าวิพากษ์วิจารณ์ของมหาเธร์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยเขายังเป็นหนุ่ม เมื่อเข้าพรรคอัมโนเขาก็กล้า วิจารณ์หัวหน้าพรรคของเขา ตนกู อับดุล เราะห์มาน ซึ่งตอนนั้นเป็นนายกฯด้วย และตอนที่หัวหน้าพรรคไม่เห็นด้วยกับ ข้อเสนอของเขาที่เสนอให้พรรคกำหนดขั้นต่ำของการศึกษาของตัวแทนพรรคที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง เขาก็ประท้วงด้วย การไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แม้ว่าภายหลังเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับเลือกตั้ง แต่ด้วยความเป็นคนกล้าพูดกล้า วิจารณ์ สุดท้ายมหาเธร์ก็ถูกขับออกจากพรรค
เขาต้องรอจนกระทั่ง ตนกู อับดุล เราะห์มาน ลาออก และ อับดุล ราซัค ฮุสเซน เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกฯ แทนนั้นแหล่ะ เขาจึงกลับเข้าสู่พรรคอีกครั้งด้วยการชักชวนของหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งเป็นบิดาของนายกฯคนปัจจุบัน นาจิ๊บ ราซัค นั่นเอง เมื่อกลับเข้ามาสู่พรรคอีกครั้งในปี พ.ศ. 2515 มหาเธร์ใช้เวลาเพียง 9 ปี ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้า พรรคและนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของมาเลเซียในปี พ.ศ. 2524 ขณะที่เขามีอายุได้ 56 ปี
ในปี พ.ศ. 2524 นั้นระดับพัฒนาการของมาเลเซียกับไทยนั้นไม่ได้ต่างกันมากนัก ตอนนั้นสองประเทศนี้แข่งกันที่จะเป็น เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ตามเสือสี่ตัวแรกซึ่งได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้และไต้หวัน ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นไทยเรา ยังถกเถียงกันอยู่ว่าเราจะพัฒนาประเทศไปเป็น NICs ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ หรือ NACs ประเทศเกษตรกรรมใหม่ดี แต่ที่คนไทยส่วนใหญ่สมัยนั้นเห็นตรงกันก็คือเรามั่นใจว่าเราเหนือกว่ามาเลเซียในทุกด้าน และน่าจะพัฒนาเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียได้ก่อนอย่างแน่นอน
ในปี พ.ศ. 2524 นั้นคนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวคนละ 43,000 บาทต่อปีส่วนคนมาเลเซียมีรายได้เฉลี่ยคนละ 45,000 บาท ตอนนั้นมาเลเซียนั้นเขาใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะกลาง 10 เป็นแผนแม่บทในการบริหารประเทศ เมื่อมหาเธร์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีเขาก็ไม่ได้ฉีกแผนเดิมทิ้งเหมือนที่นักการเมืองประเทศเพื่อนบ้านชอบทำ แต่เขากลับตั้งหน้าตั้งตาบริหารประเทศตามแผน 10 ปีเดิมที่มีอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2534 ปีที่คนไทยมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นคนละ 9,000 บาทเป็น 52,000 บาท แต่คนมาเลเซียมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นคนละ 34,000 บาทเป็น 79,000 บาท เห็นฝีมือของ มหาเธร์มั้ยครับ
เมื่อแผนเดิมหมดอายุลงในปี พ.ศ. 2534 มหาเธร์จึงมีโอกาสแสดงฝีมือและวิสัยทัศน์เต็มๆ ด้วยการประกาศปฏิรูปประเทศ ตามยุทธศาสตร์ของเขาที่เรียกว่า “VISION 2020” ซึ่งเป็นแผนพัฒนาประเทศระยะยาว 30 ปี และประกาศก้องโลกว่า ภายในปี พ.ศ. 2563 มาเลเซียจะต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้วให้จงได้
Amazing AEC – อะเมซิ่งมหาเธร์ (1)
[smartslider3 slider="9"]