Amazing AEC – อะเมซิ่งมหาตมะคานธี (1)

0
565



มหาตมะแปลว่าผู้มีจิตใจสูงส่ง มหาตมะคานธีจึงหมายถึงคานธีผู้มีจิตใจอันสูงส่งจึง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ ซึ่งรู้จักคานธีดีถึงกับบอกว่า “ในอนาคตคนรุ่นใหม่จะไม่มีทางเชื่อว่าคนดีเช่นคานธีนี้เคยมีอยู่จริงบนโลกใบนี้”
คานธีเกิดมาเป็นลูกคนเล็กในครอบครัวชนชั้นกลางเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ในยุคที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ พ่อของเขาเป็นนักการเมืองท้องถิ่นส่วนแม่เป็นแม่ที่เคร่งศาสนา ตอนเด็กเขาจึงเกเรตามนิสัยลูกคนเล็กทั่วไป เมื่ออายุถึง 13 ปีเขาถูกจับแต่งงานกับเจ้าสาววัยเดียวกันชื่อ “คาสตวา” ซึ่งได้เปลี่ยนเขาจากเด็กชายจอมเกเรให้กลายเป็นสามีขี้หึงถือว่า เจ้าสาวนั้นเป็นเสมือนข้าวของของเขาเฉกเช่นชายอินเดียคนอื่นๆในสมัยนั้น เมื่อคานธีอายุได้ 16 ปีและต้องแบ่งเวร นอนเฝ้า พ่อซึ่งป่วยหนักอยู่ เขาเกเรและไร้ความรับผิดชอบมากขนาดที่ทิ้งพ่อย่องขึ้นไปหลับนอนกับคาสตวา ซึ่งพ่อของเขาสิ้นใจในคืนนั้นนั่นเอง
เมื่ออายุได้ 17 ปี คานธีตัดสินใจไปเรียนกฎหมายที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อเรียนกฎหมาย ด้วยความที่ใฝ่ฝัน ที่อยากจะเป็นผู้ดีอังกฤษ เมื่อเรียนจบจึงกลับมาว่าความในอินเดีย แต่ด้วยความที่เป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างรุนแรง คานธีไม่สามารถจะว่าความได้ เขาจึงตัดสินใจหนีไปทำงานที่แอฟริกาใต้เพราะทนความอับอายไม่ได้
เมื่อไปถึงแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษเช่นกันเขาจึงรู้ว่าคนผิวดำและคนอินเดียที่อพยพมาอยู่ที่นั่นมีค่าเพียงแค่ เศษคน ไม่มีสิทธิออกเสียง ไม่มีสิทธิครอบครองทรัพย์สิน ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิจะออกมาเดินถนนในยามค่ำคืน ไม่มีสิทธิทำตัวเสมอคนผิวขาว ครั้งหนึ่งคานธีซื้อตั๋วรถไฟชั้นหนึ่งแต่มีผู้โดยสารผิวขาวเห็นเข้าจึงโวยวายกับพนักงาน คานธีจึงโดนย้ายลงไปนั่งที่ชั้นสามซึ่งเขาไม่ยอม สุดท้ายเมื่อถึงสถานีถัดไปคานธีจึงโดนจับโยนออกจากรถไฟ
คานธีอับอายมากและคิดจะหนีกลับอินเดียแต่เมื่อได้นั่งไตร่ตรองอยู่คนเดียวทั้งคืนที่สถานีรถไฟแห่งนั้น คานธีก็คิดได้ และตัดสินใจที่จะอยู่ที่แอฟริกาใต้ต่อเพื่อจะต่อต้านการกระทำของคนอังกฤษที่กระทำต่อคนผิวดำและคนอินเดีย ซึ่งคานธีได้เปิดเผยในภายหลังว่าคืนนั้นนับเป็นคืนที่เขาได้รับประสบการณ์ที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตคืนหนึ่งเลยทีเดียว
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น คานธีจึงเริ่มจัดการประชุมกับคนอินเดียและคนผิวดำเพื่อหาทางต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเขา ในช่วงแรกเขาได้พยายามใช้ความรู้ด้านกฎหมายที่เขามีอยู่แก้กฎหมายต่างๆ ที่ลิดรอนสิทธิและไม่เป็นธรรม แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะอังกฤษซึ่งเก่งกฎหมายมากกว่าได้ คานธีจึงได้เปลี่ยนวิธีการมาเป็นการรวมพลังคนต่างเชื้อชาติศาสนา ให้รวมตัวกันให้สามัคคีกันเพื่อต่อสู้แทน
แม้จะพยายามเรียกร้องสิทธิให้คนอินเดียและคนผิวดำ แต่ตอนนั้นในใจลึกๆ ของคานธีซึ่งอยู่ในวัยสามสิบเจ็ดปี ก็ยังจงรักภักดีกับอังกฤษ ยังร้องเพลงชาติอังกฤษ God Save The Queen ด้วยความภาคภูมิใจ ดังนั้นเมื่อพวกซูลูลุกฮือขึ้น มาต่อต้านอังกฤษ คานธีจึงได้เข้าร่วมกับกองทัพอังกฤษเพื่อร่วมปราบ แต่พวกซูลูมีเพียงหอกเป็นอาวุธขณะที่อังกฤษ มีอาวุธปืน การปราบพวกซูลูจึงเป็นเสมือนการสังหารหมู่พวกซูลูนั่นเอง ภาพทหารอังกฤษยิงพวกซูลูคนแล้วคนเล่าอย่างสนุกสนานสร้างความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวงแก่คานธี และทำให้เขาสำนึกได้ถึงการกดขี่ข่มเหงที่อังกฤษกระทำ ต่อคนแอฟริกาใต้และคนอินเดียทั้งที่ในแอฟริกาใต้และที่อินเดียบ้านเกิดของเขาเอง เหตุการณ์ครั้งนั้นยังทำให้คานธี ได้ตระหนักและรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่งถึงการที่เขาได้กดขี่ภรรยาเป็นอย่างมากอีกด้วย
คานธีจึงคิดที่จะอุทิศตัวเองเพื่อรับใช้เพื่อนมนุษย์ให้ดีที่สุด โดยเขาคิดว่าเขาจะทำเช่นนั้นได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อเขา สามารถบังคับความต้องการตัวเองให้ได้เสียก่อน คานธีจึงปาวารณาตนเองว่าจะถือเพศพรหมจรย์ตลอดไป
ชีวิตอันน่าอะเมซิ่งของคานธีเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น .. โปรดติดตาม

[smartslider3 slider="9"]