ผมมีโอกาสเดินทางไปหลายประเทศเพื่อทำรายการ AEC กับเกษมสันต์ ซึ่งออกอากาศทาง TNN24 เกือบทุกวัน ก็เลยได้เห็นว่าเมืองไทยเรานี่ตื่นตัวเรื่อง AEC มากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
แต่ว่าที่น่าประหลาดใจก็คือในเมืองไทยของเราตื่นตัวเรื่องข้อมูลพื้นฐานของ ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เพื่อนบ้านเรามีทรัพยากรอะไร ทักทายกันยังไง แต่งตัวกันยังไง ดอกไม้ประจำชาติคือดอกอะไร ประมาณนี้ ไปเมืองไหนๆ ก็ต้องเห็นป้ายยินดีต้อนรับสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หนังสือหนังหาที่มีขายในแผงหนังสือส่วนใหญ่ ก็ออกมาแนวนี้เกือบทั้งนั้น ขณะที่เพื่อนบ้านเราเช่น สิงคโปร์ เวียดนาม เขาไม่ค่อยรณรงค์ให้เด็กๆ หรือคนของเขา สนใจข้อมูลเพื่อนบ้านเหมือนเมืองไทย แต่เขาจะรณรงค์ให้คนของเขาคิดว่าจะทำมาค้าขายกันอย่างไรเมื่อเข้าสู่ AEC
คนไทยส่วนมากมักจะเข้าใจกันว่าเมื่อรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC แล้วประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศจะค้าขายกันคึกคักมากขึ้น แรงงานจะเคลื่อยย้ายกันเสรี ใครอยากไปทำงานที่ประเทศไหนก็ได้ บริษัทในกลุ่ม AEC จะสามารถมาลงทุนตั้งบริษัทในประเทศสมาชิกได้เต็มที่ ทุกอย่างจะเสรีไปหมด
ผมมีข้อมูลบางอย่างที่อาจจะทำให้ท่านผู้อ่าน AMAZING มาให้อ่านกันครับ
AMAZING เรื่องแรกก็คือ เมื่อเข้าสู่การเป็น AEC เต็มรูปแบบในปลายปี 2558 นั้นประเทศสมาชิก AEC จะไม่ค้าขายกันมากขึ้นหรอกนะครับ จะค้าขายเท่าๆเดิมนี่แหล่ะครับ เพราะว่าในปัจจุบันภาษีการนำเข้าและส่งออก ระหว่างกันของสมาชิก AEC นี่ แทบไม่มีอยู่แล้วนะครับ จะบอกว่าภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นศูนย์นี่ก็ว่าได้ จะมีเหลืออยู่บ้างก็ของกลุ่มประเทศ CLMV คือเขมร ลาว พม่าและเวียดนามเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่เยอะแล้วนะครับ และทั้งสี่ประเทศนี้ต้องค่อยๆ ลดภาษีนำเข้าระหว่างกันลงไปให้เหลือศูนย์ เปอร์เซ็นต์ในเร็วๆ นี้อีกด้วย
แปลว่าตอนนี้ถ้าประเทศไหนอยากค้าขายกับประเทศไหนในหมู่สมาชิก AEC นี่เขาก็สามารถค้าขายกันได้ โดยแทบจะไม่ต้องเสียภาษีกันอยู่แล้ว ทำกันเต็มที่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องรอจนปลายปี 2558 ถึงจะเริ่มค้าขายกัน
AMAZING เรื่องที่สองก็คือ ที่เราคิดๆกันว่าแรงงานจะเคลื่อนย้ายกันเสรีและคึกคักนั้นก็ไม่จริงนะครับ เพราะในหมู่สมาชิก AEC เขาตกลงร่วมกันว่าจะมีแค่ 7 อาชีพที่มีฝีมือเท่านั้นที่เคลื่อนย้ายได้เสรีหรือจะไปทำงานที่ประเทศไหน ก็ได้ อาชีพทั้ง 7 ที่ว่านั้นได้แก่ หมอ พยาบาล หมอฟัน วิศวกร สถาปนิก นักบัญชีและนักสำรวจ นั่นหมายความว่าแรงงานที่ไม่ใช่ 7 อาชีพนี้ ตอนนี้มีกฎระเบียบยังไงในการไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร ก็ต้องทำตามกฎระเบียบเหมือนเดิมนะครับ เป็น AEC หรือไม่เป็น AEC ก็ค่าเท่ากัน
ที่น่า AMAZING กว่านั้นก็คือ ในบรรดาอาชีพทั้ง 7 นี่ แม้จะตกลงกันว่าให้เคลื่อนย้ายเสรี ในความเป็นจริง แต่ละประเทศเขาก็มีการกำหนดกฎเกณฑ์กีดกันกันเอาไว้แบบตั้งป้อมไม่ให้คนชาติ อื่นมาแย่งอาชีพคนชาติตัวเองกันทั้งนั้น ลองดูตัวอย่างของไทยเราเองก็ได้ครับ ถ้าหมอชาติอื่นๆ ใน AEC อยากจะมาทำงานในไทย เขาก็ต้องมาสอบใบประกอบวิชาชีพโรคศิลป์ ซึ่งทั้งข้อสอบและคำตอบต้องเขียนเป็นภาษาไทย หรือถ้านักบัญชีชาติอื่น จะมาทำงานเขาก็ต้องทำบัญชีเป็นภาษาไทยเป็นต้น กำหนดไว้อย่างนี้ใครจะมาทำงานในไทยได้ครับ?
ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทยที่มีกฎเกณฑ์พวกนี้นะครับ แต่สมาชิกอื่นๆ ของ AEC ก็มีกำหนดกฎเกณฑ์คล้ายๆกันนี้เพื่อกีดกัน คนชาติอื่นๆ เช่นกัน อาจมีบ้างบางประเทศที่ยังไม่ค่อยมีใครอยากไปทำงานนักก็อาจเปิดกว้างเรื่อง นี้หน่อย
AMAZING เรื่องที่สามก็คือ การเชื่อว่าหลังเป็น AEC กันแล้ว ธุรกิจชาติสมาชิกจะสามารถไปตั้งบริษัทหรือลงทุนใน AEC ด้วยกันได้อย่างเต็มที่ ไปถือหุ้นใหญ่ได้สูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ เรื่องนี้ก็ไม่เกิดอีกนั่นแหล่ะครับ เพราะแต่ละประเทศยังไม่ยอมที่จะแก้กฎหมายในประเทศตัวเองที่จะทำให้บริษัท AEC ด้วยกันมาลงทุนและถือหุ้นได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เมืองไทยของเราก็เหมือนกันครับ ถ้าเรายังไม่แก้ไข พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว บริษัทไหนจะมาลงทุนตั้งบริษัทโดยคิดจะถือหุ้นเยอะกว่า 49เปอร์เซ็นต์ ก็อย่าได้คิดเสียให้ยาก
เห็นมั้ยครับ ข้อมูลที่น่า AMAZING เหล่านี้ ทำให้ภาพที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้นภายหลังเป็น AECเต็มตัวจะไม่เกิดขึ้นเลย เพราะฉะนั้นที่คนไทยเราท่องๆกันไว้คงไม่ได้ใช้กันแล้วแน่ๆ
แล้วความน่าสนใจของ AEC จะหายไปเพราะข้อมูลที่น่า AMAZING ข้างต้นเหล่านี้มั้ย? ไม่หรอกครับ เพราะความ AMAZING ของ AECไม่ได้อยู่ตรงนั้นแต่อยู่ตรงที่ AEC ของเราได้ไปทำข้อตกลงการค้าเสรีกับอีก 6 ประเทศคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และอินเดีย ที่เรียกกันว่า อาเซียนบวก6 ซึ่งคนในกลุ่มอาเซียนบวก 6 นี้รวมกันแล้วมีมากกว่า 3,300 ล้านคน ซึ่งก็คือครึ่งหนึ่งของคนบนโลกนี้ที่มีอยู่ราว 7,000 ล้านคนเลยทีเดียว
ตรงนี้ล่ะครับที่ทำให้ AEC เนื้อหอมขึ้นมาทันที เพราะใครก็ตามเมื่อมาลงทุนใน AEC เขาก็จะสามารถ ใช้สิทธิพิเศษทางด้านการค้าได้ตามที่อาเซียนได้ไปตกลงกับอีก 6 ประเทศนี้ได้ทันที
และนี่ทำให้นักวิชาการทั่วโลกทำนายตรงกันว่าเมื่อรวมตัวกันเป็น AEC แล้วเศรษฐกิจของภูมิภาค นี้จะขยายตัวในอัตราที่เร็วยิ่งขึ้น
คำถามที่น่าสนใจก็คือประเทศไหนของ AEC น่าไปลงทุนมากกว่ากัน?
บริษัทดีๆระดับโลกเวลาที่เขาจะไปลงทุนที่ประเทศไหนก็ตาม เขาจะดูที่ สามเรื่องด้วยกันครับคือ หนึ่ง การจะเริ่มต้นทำธุรกิจนั้นยากง่ายมากน้อยแค่ไหน? สอง ความโปร่งใสมีมั้ย เรื่องคอร์รัปชั่นมีมากมั้ย? และสาม โครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานมีความพร้อมหรือไม่ เพียงใด?
นอกจากดูสามเรื่องใหญ่ๆนั่นแล้ว ธุรกิจระดับโลกเขาก็มักจะดูเรื่องอื่นๆประกอบด้วย เช่น ขนาดตลาดภายในประเทศ ใหญ่แค่ไหน มีแรงงานเพียงพอมั้ย? ค่าจ้างและคุณภาพของแรงงานสอดคล้องกับธุรกิจที่เขาจะมาลงทุน? วัตถุดิบมีเพียงพอหรือต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อัตราภาษีทั้งนิติบุคคล บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าแข่งขันได้มั้ย? มาตรการการส่งเสริมการลงทุนเป็นอย่างไร?
ดูกันแบบเผินๆ วันนี้ไทยเราดูเหมือนจะเป็นรองแต่ สิงคโปร์เท่านั้น แต่พอดูลึกๆ เข้าไปจริงในรายละเอียด ผมอยากจะบอกว่า ในประเทศที่รองจากสิงคโปร์เช่น ไทย เวียดนามและมาเลเซียนั้น อาจจะต้องถึงกับถ่ายรูปวัดกันเลยทีเดียวว่าประเทศไหนจะน่าสนใจกว่ากันใน สายตาของธุรกิจระดับโลก
ถ้าเราเตรียมตัวดี คนไทยทั้งประเทศก็จะ AMAZING ในการเจริญเติบโตของประเทศเรา แต่ถ้าไทยเราประมาท เวียดนามและมาเลเซีย ผมฟันธงได้เลยว่าอีกไม่นาน คนทั้งสองประเทศนั้นจะ AMAZING ตัวเองและบอกกับตัวเขาเองว่า เขาแซงหน้าไทยไปแล้ว AMAZING จริงเลย !!!