ช่วงหลังๆมานี้ ผมมีภาระกิจต้องเดินทางไปจีนค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะเมืองกุ้ยหยาง มณฑลกุ้ยโจว และเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ผมเลยได้เห็นการใช้ CCTV ของจีนที่สามารถจัดระเบียบเมืองได้ดีขึ้น ผู้คนมีวินัยเคารพกฎหมายมาก ขึ้นอย่างน่าสนใจ
เริ่มกันตั้งแต่สนามบิน เมื่อลงจากเครื่องบิน จีนจะทำทางแคบๆกึ่งบังคับให้ผู้โดยสารต้องเดินผ่าน CCTV เพื่อตรวจ อุณหภูมิ ร่างกายดูว่าผู้โดยสารที่มาถึงจีนนั้นมีไข้สูงหรือไม่? ซึ่งถ้ามีก็ต้องโดนพาแยกตัวไปตรวจต่อว่ามีเชื้อโรคอะไร ที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงต้องห้ามเข้าประเทศเขาหรือไม่ พอไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองเขาก็ใช้ CCTV ที่มีสมอง และโปรแกรม Face Recognition บันทึกหน้าตาเราเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่าคนๆนี้เดินทางเข้าประเทศมาแล้วนะ ซึ่งทั้ง สองเรื่องนี้ก็เหมือนกับหลายๆประเทศที่ผมได้เดินทางมา จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าจะเข้มงวดมากหรือน้อยเท่านั้นเอง
แต่เรื่องที่จีนทำได้ต่างกับหลายประเทศรวมถึงไทยเราด้วยก็คือการบินภายในประเทศ ซึ่งนอกจากเขาจะตรวจบัตรโดยสาร และบัตรประชาชนว่าชื่อตรงกันหรือไม่แล้ว จีนยังใช้ CCTV จับหน้าผู้โดยสารและเอาเข้าไปตรวจสอบกับระบบ Big Data ของประเทศที่บันทึกหน้าตาชื่อและข้อมูลส่วนตัวของคนจีนทั้งประเทศเอาไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อคนจีนยื่นบัตรโดยสารพร้อม บัตรประจำตัวให้เจ้าหน้าที่สนามบิน ระหว่างเจ้าหน้าที่กำลังตรวจความถูกต้องของทั้งสองบัตร กล้อง CCTV ก็จะทำหน้า ที่ตรวจใบหน้าของผู้โดยสารว่าเป็นคนเดียวกับชื่อที่ระบุในบัตรประชาชนหรือไม่
เท่าที่ผมสังเกตดูระบบนี้ของจีนมีประสิทธิภาพสูงมากเพราะเมื่อกล้องจับหน้าผู้โดยสาร ชื่อและข้อมูลส่วนตัวก็จะขึ้นมา ในหน้าจอให้เราที่เป็นผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่เห็นว่าถูกต้องตรงกัน หรือไม่ภายในเวลาเพียงแว้บเดียวเท่านั้นเอง ต่างจาก ระบบของไทยเรามากซึ่งเอาคนมาอ่านชื่อในบัตรและตั๋วว่าตรงกันหรือไม่เท่านั้นเองจะถูกผิดหรือช้าเร็วก็ขึ้นอยู่กับ ความสามารถคนอ่านว่าภาษาอังกฤษแข็งแรงหรือไม่ ไม่น่าจะช่วยเรื่องความปลอดภัยอะไรได้มากนัก น่ากังวล
พ้นออกจากสนามบินมาสู่ท้องถนน ต้องบอกว่าคนในกุ้ยหยางและเฉิงตูนั้นขับรถเป็นระเบียบเรียบร้อยและเคารพกฎ จราจรมากกว่าคนในกรุงเทพอย่างเทียบกันไม่ได้ ผมลองถามเพื่อนคนจีนว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเดี๋ยวนี้คนจีนถึงเคารพ กฎจราจรยอมทำตามกฎหมายมากยิ่งขึ้นแตกต่างไปจากอดีตที่ผมเคยพบเห็นอย่างมาก เพื่อนคนจีนตอบว่าเดี๋ยวนี้เมืองจีน เอา CCTV มาใช้ในแทบจะทุกจุดบนท้องถนน ดังนั้นถ้ารถหรือมอเตอร์ไซค์คันไหนทำผิดกฎหมายใบสั่งจะถูกส่งไปถึง บ้านทันที

ผมจึงเริ่มสังเกตบนท้องถนนและก็พบว่าเมืองจีนเขาใช้ CCTV แทบจะทุกจุดบนท้องถนนจริงๆ ทั้งถนนในเมืองและ ไฮเวย์นอกเมืองหรือทางหลวงไปเมืองต่างๆ บางจุดโดยเฉพาะจุดที่อันตรายและจุดที่มีคนชอบทำผิดอยู่เรื่อยๆ เขาตั้งใจยิง ไฟแว้บๆเพื่อจับป้ายทะเบียนและเพื่อจะเตือนคนขับรถว่าตรงนี้มีกล้อง CCTV คอยจับตาดูพวกคุณอยู่นะ อย่าทำผิด กฎหมายเลย เป็นการเตือนไม่ให้ทำผิดและมุ่งหวังจะทำให้คนเดินทางมีความปลอดภัยมากกว่า มุ่งหวังจะปล่อยให้คน ทำผิดเพื่อจะได้ออกใบสั่งและหวังส่วนแบ่งค่าปรับเหมือนบางประเทศ
ที่น่าสนใจก็คือผมแทบจะไม่เห็นตำรวจบนท้องถนนเลย ต่างจากบ้านเราที่เห็นตำรวจเต็มท้องถนนแต่ก็ยังไม่สามารถทำ ให้คนไทยทำตามกฎหมายหรือเคารพกฎจราจรได้เท่าไหร่
สอบถามผู้เชี่ยวชาญเรื่อง CCTV จึงได้ข้อมูลว่าปัจจุบัน CCTV รุ่นใหม่ๆนี่เขาจะใส่ “สมอง” เข้าไปในตัวกล้องด้วย ทำให้ กล้องมีความฉลาดมากกว่ากล้องรุ่นเดิมที่ทำหน้าที่เป็นแค่ดวงตาที่มองได้แต่ไร้สมอง CCTV ที่มีสมองนั้นถ้า เราติดไว้ เพื่อดูทะเบียนรถ กล้องก็จะฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรจะมองไปตรงจุดไหนของรถบรรทุก รถเก๋งหรือมอเตอร์ไซค์จึงจะเห็น ป้ายทะเบียนได้ชัดเจน และเมื่อมองเห็นป้ายทะเบียนกล้องก็จะฉลาดมากพอที่จะอ่านออกได้ทันทีว่ารถคันนั้นทะเบียน อะไร
สมองที่ใส่เข้าไปใน CCTV นั้นก็เปรียบเสมือนสมองของคนเรา ถ้าเราอยากให้สมองนั้นเข้าใจและอ่านป้ายทะเบียน ภาษาไทยออก เราก็ต้องสอนภาษาไทยให้มัน เมื่อสอนบ่อยๆสมองของกล้องมันก็จะฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับ คนเราตอนเป็นเด็กเริ่มเรียนภาษาไทยก็ย่อมจะรู้น้อยกว่าตอนโตขึ้น
ถ้าเราติด CCTV เพื่อที่จะให้ช่วยบริหารการจัดการจราจร CCTV ที่มีสมองก็จะสามารถช่วยนับรถว่าในวินาทีนั้นๆบน ท้องถนนมีรถเก๋ง รถบรรทุกและมอเตอร์ไซค์อยู่อย่างละกี่คัน เปรียบเทียบได้ว่ามากหรือน้อยกว่าวันอื่นๆอย่างไร การ จราจรเคลื่อนตัวได้ที่ความเร็วเท่าไร เมื่อสอนไปนานๆ CCTV ก็จะเริ่มเรียนรู้ว่ารูปแบบของปัญหารถติดจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ในลักษณะใด CCTV ก็จะส่งสัญญาณไปให้ตู้ไฟจราจรซึ่งก็ต้องมีสมองเช่นกันว่าให้ปรับเปลี่ยนไฟเขียวไฟแดงแบบ อัตโนมัติให้สอดคล้องกับสถานะการจราจรในขณะนั้น
ผู้รู้ยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานราชการไทยเวลาจัดซื้อ CCTV ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องสมองเหล่านี้ การจัดซื้อ จึงมักทำกันง่ายๆ แบ่งเค็กกันไปอย่างเคยๆ CCTV ที่ติดกันเต็มบ้านเต็มเมืองจึงไร้สมอง ทำงานได้ไม่เหมือนกับที่ประเทศ อื่น แถมการแบ่งเค็กกันไปแบบไทยๆยังทำให้หน่วยงานราชการไทยได้ CCTV จากหลายบริษัทที่ไม่สามารถ เชื่อมโยงกัน ได้อีกต่างหาก เป็นปัญหาซ้ำซ้อนทำให้ CCTV ไทยไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
ในสิงคโปร์ CCTV ของเขาก็มีสมองและรัฐบาลก็ฉลาดที่รู้จักใช้เพื่อช่วยบริหารการจราจรและการเดินทางของคนสิงคโปร์ ยกตัวอย่างเช่นถ้ามีคนเดินทางมาสถานีรถใต้ดินมากกว่าปรกติ ระบบบริหารการจราจรของสิงคโปร์ก็จะปรับแบบ อัตโนมัติให้รถใต้ดินมาถี่และเร็วกว่าปรกติ สถานีจะได้ไม่แน่นเกินไป ผู้โดยสารจะได้ไม่ต้องรอนาน
ห้างสรรพสินค้าทั้งหลายในกุ้ยหยางและเฉิงตูก็ใช้ CCTV ที่มีสมองเช่นกัน เมื่อเราขับรถเข้าไปห้างทั้งหลาย เขาจะใช้ CCTV อ่านทะเบียนรถเรา แล้วที่กั้นอัตโนมัติก็จะเปิดให้รถเราเข้าไป ตอนขาออกเมื่อ CCTV อ่านทะเบียนรถเรา ข้อมูล เวลาเข้าออกก็จะแสดงบนหน้าจอให้คนขับเห็นและตรวจสอบได้ว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้ารถคันนั้นลงทะเบียนแบบจ่ายค่า จอดรถแบบหักบัญชีเอาไว้ ที่กั้นอัตโนมัติก็จะเปิดให้รถคันนั้นออกไปเลย แต่ถ้ารถคันนั้นไม่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ เราก็ ต้องจ่ายเงินสดตรงทางออกนั่นเอง
ระบบทางด่วนในจีนก็ใช้ CCTV ที่มีสมองคอยอ่านทะเบียนรถและคิดค่าใช้ทางด่วนอัตโนมัติไปเลย เวลาขับผ่าน CCTV ก็ใช้เวลานิดเดียว ใช้ความเร็วได้พอสมควร ไม่ต้องขับช้าๆแถมบางทียังต้องถอยเข้าถอยออกเหมือนเมืองไทย
ในญี่ปุ่นเขาใช้ระบบ CCTV ที่มีสมองไปช่วยบริหารความปลอดภัยโดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งมีคนอยู่กันมากๆ เช่นสถานี รถไฟทั้งบนดินและใต้ดิน ผมมีโอกาสไปชมระบบการบริหารความปลอดภัยในสถานีรถไฟของเขาซึ่งใช้ทั้ง CCTV มี สมองและระบบที่มีสมอง ซึ่งฉลาดมากพอที่จะเตือนเจ้าหน้าที่เมื่อเห็นมีคนหรือพฤติกรรมผิดสังเกต เช่นมีคนเดินถือไม้ ยาวๆ หรือถือถังน้ำมันถังก๊าซ เข้ามาในสถานี หรือคนที่ถือถุงหรือกระเป๋ษเข้ามาแล้วก็เอาไปวางทิ้งเอาไว้แล้วเดินจากไป ซึ่งคนเหล่านี้อาจจะก่อเหตุร้าย เมื่อ CCTV เห็นก็จะส่งสัญญาณเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ทันที เจ้าหน้าที่ก็จะจับตาดูพฤติกรรม คนเหล่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้ก่อเหตุร้ายได้
แม้กระทั่งตอน CCTV เห็นคนเมาเดินโซเซ เข้ามาในสถานี CCTV ก็จะส่งสัญญาณเตือนเจ้าหน้าที่ว่ามีคนเมาเดินอยู่ใน สถานีต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะถ้าคนเมาถ้าตกลงไปในรางนอกจากอาจจะตายแล้วยังจะทำให้การจราจรทั้งระบบ ของรถไฟต้องติดขัดล่าช้า กระทบกันทั้งระบบ
ถ้าหากมีการพลัดหลงกับลูกหลาน เมื่อไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟว่ารูปพรรณสัณฐานของลูกหลานเราเป็นอย่างไร ใส่ชุดอะไรสีอะไร ในเวลาเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเจ้าหน้าที่ก็สามารถจะบอกเราได้ว่า เด็กที่มีรูปพรรณสัณฐานและแต่งกาย ใกล้เคียงกับที่เราแจ้งนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งหมดมีอยู่กี่คน อยู่ตรงไหนหรือเดินออกไปทางออกหมายเลขอะไรบ้าง เมื่อผู้แจ้งสังเกตเห็นบุตรหลานตัวเองชัด การตามให้พบจึงเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆในญี่ปุ่น
ซึ่งระบบแบบนี้ ตอนนี้จีนก็สามารถทำได้แล้วแบบสบายๆ และอาจจะล้ำหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว เพราะคนจีนมีจำนวนเยอะกว่า คนญี่ปุ่นมากนัก แถมโดยพื้นฐานคนจีนยังมีระเบียบวินัยน้อยกว่าคนญี่ปุ่น ดังนั้นระบบ CCTV มีสมองของจีนจึงต้อง ฉลาดกว่าของญี่ปุ่นจึงจะเอาคนจีนอยู่ CCTV ที่มีสมองและระบบการจัดการที่มีสมองนั้น นอกจากจะสามารถเอามาช่วยบริหารการจราจรและการบังคับใช้ กฎหมายได้อย่างที่หลายประเทศทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วนั้น แล้วยังสามารถเอามาช่วยดูแลความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สินของคนไทยโดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อีกด้วย เพียงแค่ต้องจัดซื้อจัดจ้างอย่างตรงไปตรงมา เท่านั้นเอง ไม่เชื่อลองดู