ผู้นำดีประเทศเปลี่ยน (ตอนจบ) : มุมมองเกษมสันต์

0
751

ตอน ผู้นำดีประเทศเปลี่ยน (ตอนจบ)

อาทิตย์ที่แล้วผมเขียนถึงนายเบนิโญ “นินอย” อากีโน จูเนียร์ บิดาของอดีตประธานาธิบดีคนที่ 15 นายเบนิโญ อากีโน ที่ 3 ว่าเป็นแกนนำคนสำคัญที่ต่อต้านเผด็จการมาร์กอส และห้าวหาญมากขนาดที่กล้าบินกลับประเทศทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีโอกาสโดนฆ่าตาย และเขาก็โดนยิงตายคาสนามบินทันทีที่เดินลงจากเครื่อง นางคอราซอน อากีโน ภรรยาของ “นินอย” จึงถูกเรียกร้องให้เป็นแกนนำในการลงสนามเลือกตั้ง ซึ่งมีการโกงกันอย่างมากมาย จนประชาชนลุกขึ้นมาประท้วงกันนับล้านคนทำให้มาร์กอสต้องหนีออกจากประเทศ นางอากีโนจึงได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดี

นางอากีโนนับเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของฟิลิปปินส์ และคนแรกของเอเชีย ช่วงของการขึ้นเป็นผู้นำประเทศของเธอนั้นถือเป็นช่วงของการฟื้นฟูประชาธิปไตย แม้จะมีความพยายามจะปฏิวัติหลายครั้งทั้งโดยทหาร และฝ่ายขวาที่สูญเสีย มีความไม่สงบ มีการประท้วงบ่อย ๆ การเมืองไม่มั่นคงเศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้น แต่เธอก็ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนครบวาระ เท่ากับเป็นการปูพื้นฐานการกลับมาสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง จนได้รับฉายา “มารดาแห่งประชาธิปไตย” ในปี 2539 นิตยสารไทม์ยกย่องให้เป็น “สตรีแห่งปี” และ “วีรสตรีแห่งเอเชีย”

นางอาคีโนเป็นประธานาธิบดีอยู่จนถึงปี 2535 หลังจากนั้นคนฟิลิปปินส์ก็เลือกตั้งได้นายฟิเดล รามอส นายโจเซฟ เอสตราดา และ นางกลอเรีย อาร์โรโย มาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 12-14 ตามลำดับ ก่อนที่นายเบนิโญ อากีโน ที่ 3 บุตรชายจะลงสมัครชิงตำแหน่ง และชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 15 เมื่อปี 2553

ปี 2553 ที่มีการเลือกตั้งนั้น แม้เศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะเริ่มฟื้นตัวได้บ้างแต่คนส่วนมากยังยากจนอยู่ และเรื่องคอรัปชั่นยังคงเป็นปัญหาใหญ่และเรื้อรัง เพราะผู้นำสองคนก่อนหน้านั้นคือ นายเอสตราดา และนางอาร์โรโย ต่างก็มีเรื่องราวคอรัปชั่นกันอย่างมาก นายอากีโนจึงใช้นโยบาย “ปราศจากคอรัปชั่น ปราศจากความยากจน” ในการรณรงค์หาเสียง ซึ่งทำให้เขาเอาชนะการเลือกตั้งได้อย่างท่วมท้น

เมื่อได้เป็นผู้นำ เขาแบ่งคณะรัฐมนตรีออกเป็น 5 คลัสเตอร์ คือความโปร่งใส และการต่อต้านการคอรัปชั่น การพัฒนามนุษย์ และลดความยากจน การพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคง ความยุติธรรม และสันติภาพ และการปรับตัวเพื่อรับมือและลดผลกระทบจากภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปของโลก โดยนายอากีโนนั่งเป็นประธานคลัสเตอร์เพื่อความโปร่งใส และการต่อต้านการคอรัปชั่นเอง

เมื่อผู้นำมีความตั้งใจจริง และมือสะอาด การปราบปรามคอรัปชั่นในฟิลิปปินส์ก็เกิดขึ้นอย่างมาก มีการจับกุมดำเนินคดีกับนางอาร์โรโย ที่นอกจากจะเป็นอดีตผู้นำแล้วยังเคยเป็นอาจารย์สอนนายอากีโนอีกด้วย มีการจับกุมวุฒิสมาชิกที่มีอิทธิพลแต่ขี้โกงหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นลูกชายของนายเอสตราดา มีการถอดถอนประธานศาลฎีกาที่พัวพันคอรัปชั่น และอีกมากมายหลายคดี

ย้อนไปถึงปี 2538 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการจัดอันดับคะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอรัปชั่น ฟิลิปปินส์ได้ 2.77 จาก 10 คะแนนเต็ม ปีแรกที่เขาเป็นประธานาธิบดี ฟิลิปปินส์ก็ยังได้แค่ 2.1 คะแนน ได้อันดับที่ 146 จาก 178 ประเทศ เปรียบเทียบกับไทยที่ได้ 3.5 คะแนน อันดับที่ 87 แล้วจะเห็นชัดเจนว่าสถานการณ์การคอรัปชั่นของไทยเราดีกว่าเยอะ

แต่พอเข้าปีที่สองของการเป็นผู้นำ ฟิลิปปินส์ได้คะแนนดีขึ้นจาก 2.1 เป็น 2.6 และดีขึ้นเป็น 34 คะแนนในปี 2555 (มีการเปลี่ยนคะแนนเต็มจาก 10 เป็น 100 ในปี 2555) และได้คะแนนสูงถึง 38 คะแนนในปี 2557 ส่วนปีสุดท้าย 2559 ที่เขาเป็นผู้นำ ฟิลิปปินส์ได้ 35 คะแนนได้อันดับที่ 101 คะแนนและอันดับเดียวกับประเทศไทยพอดี หลังจากที่ทำคะแนนได้น้อยกว่าไทยมาโดยตลอด

ด้านการบริหารเศรษฐกิจก็ทำได้ดีอย่างมากเช่นกัน ในช่วงที่นายอากีโนเป็นผู้นำ เศรษฐกิจฟิลิปปินส์เติบโตเฉลี่ยปีละ 6% เพราะมีการลงทุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานซึ่งรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ เช่นด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สาธารณสุข และการศึกษา การเข้มงวดวินัยทางการคลัง จัดงบประมาณแบบสมดุล การส่งเสริมนโยบายความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ ฯ และเอกชน แก้ไขกฎหมาย และระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของต่างชาติ ส่งเสริมการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม และมีการแก้ไขกฎหมายป้องกันการผูกขาด

ในปี 2557 เมื่อประธานธนาคารโลกมาเยือน เขาได้ชื่นชมการเอาจริงเอาจังในการปราบปรามคอรัปชั่นของนายอากีโน พร้อมบอกว่าฟิลิปปินส์นั้นได้หลุดพ้นจากการเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตช้าที่สุดในเอเชียหรือ “คนป่วยของเอเชีย” ไปได้แล้ว และกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็น “มหัศจรรย์แห่งเอเชีย” ในช่วงปี 2554-59 ที่นายอากีโนเป็นผู้นำนั้น เศรษฐกิจฟิลิปปินส์เติบโตเฉลี่ยปีละ 6.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ 2.7 เปอร์เซ็นต์

สถาบันวิจัยระดับโลกคาดว่าจากนี้ไปอีก 30 ปีจนถึงปี 2593 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะสามารถเติบโตได้ดีแซงทั้งไทย และมาเลเซีย ไปอยู่ที่อันดับ 19 ของโลก ทำให้ไทยซึ่งเคยใหญ่เป็นที่สองในอาเซียนตกลงมาเป็นอันดับที่ห้า ตามหลัง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนามและมาเลเซีย

ผู้นำดีคนเดียวอย่างนายอากีโน ประเทศก็เปลี่ยนได้ ในทางตรงกันข้ามหากได้ผู้นำไม่ดี ประเทศก็ล่มสลายได้ ผมหมายถึงเผด็จการมาร์กอสของฟิลิปปินส์นะครับ

ผู้นำดีประเทศเปลี่ยน
ผู้นำดีประเทศเปลี่ยน (ตอนจบ)
[smartslider3 slider="9"]