AEC for Happy Family กับเกษมสันต์ / พฤษภาคม 2560
เมื่อเด็กน้อยไปเที่ยวกัมพูชา
ผมเคยเขียนชักชวนคุณแม่คุณพ่อให้พาลูกรักไปเที่ยวประเทศในกลุ่ม AEC โดยเฉพาะเพื่อนบ้าน CLMV คือ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนามหลายครั้งแล้ว มีหลายครอบครัวซึ่งไปเที่ยวตามรอยผมมาแล้วต่างก็บอกว่าประทับใจมากกว่าที่คิดเอาไว้ตามที่ผมบอกจริงๆ แต่บางครอบครัวก็ยังลังเลใจอยู่
วันนี้ผมมีประสบการณ์ตรงของหลานสาว ซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนรักสมัยเรียนสวนกุหลาบด้วยกัน น้องปิ่น กุลชญา นิคมคณารักษ์ อายุ 16 ปี ซึ่งยังเรียนอยู่ชั้น ม.5 โรงเรียนเบญจมราชาลัย ซึ่งผมชวนมาฝึกงานกับผมและได้ชวนไปเที่ยวและช่วยงานที่กรุงพนมเปญด้วยกัน ซึ่งเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกของหลาน ผมอยากให้คุณแม่คุณพ่อลองอ่านบทความที่น้องปิ่นเขียนดูนะครับ
“การเดินทางไปทำงานครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หนูได้ไปที่ประเทศกัมพูชา ก่อนที่จะเดินทางไปหนูคิดว่าประเทศนี้ คงไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจมากนัก คงจะล้าหลังกว่าเรามาก ต้องอยู่ลำบากแน่ๆ แต่เมื่อหนูถึงสนามบินที่ กรุงพนมเปญ ความคิดที่พกมาค่อยๆ หายไป เมื่อคนกัมพูชาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ ทุกคนพูดจาเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส ที่สำคัญคือคนกัมพูชาในกรุงพนมเปญส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ พนักงานในร้านอาหารสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ซึ่งแตกต่างกับพนักงานร้านอาหารในประเทศไทยที่น้อยคน นักจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้
การขับขี่รถยนต์ที่ประเทศกัมพูชาแตกต่างจากประเทศไทยคือ พวงมาลัยรถยนต์จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ หนูมาอยู่ที่นี่วันแรกๆ ก็นึกกลัวกับการจราจรของที่นี่ ทั้งบีบแตรรถและการขับรถที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบสักเท่าไหร่ แต่เมื่อหนูได้อยู่หลายๆ วันก็เริ่มคุ้นชินกับการจราจรในประเทศกัมพูชา ถึงจะขับดูน่าหวาดกลัวแต่ไม่ได้มีเหตุการณ์รถชนหรือทะเลาะรุนแรงเหมือนในประเทศไทย คนที่นี่จะค่อยๆ ขับและบีบแตรเพื่อขอทางกัน
ถนนหนทางของประเทศกัมพูชาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก อยู่ในช่วงของการทำถนน ทำให้ริมถนนยังมีเศษฝุ่นอยู่มาก เริ่มมีการก่อสร้างสถานที่ต่างๆ ขึ้น อย่างเช่น สนามกีฬาโอลิมปิก ทั้งนี้ประเทศกัมพูชาก็ไม่ได้ล้าหลังอย่างที่หนูคิด ไว้ ที่นี่มีร้านอาหารชื่อดังมากมายอย่างเช่น เบอร์เกอร์คิง บอนชอน คริสปี้ครีม และร้านอื่นๆ อีกมากมายที่ประเทศไทยก็มีเช่นกัน ช่วงที่หนูเดินทางมาทำงานที่กัมพูชาพึ่งผ่านเทศกาลสงกรานต์ของประเทศกัมพูชาไปไม่กี่วัน อาคารบ้านเรือนต่างๆ ยังคงแขวนรูปดาวประดับบ้านเรือนไว้ ซึ่งตอนแรกหนูสงสัยว่าดาวที่แขวนไว้คืออะไร ขนาดในกระป๋องโคคาโคล่ายังมีรูปดาวด้วยเลย สุดท้ายหนูก็ได้คำตอบว่ารูปดาวที่แขวนไว้นั้นเป็นการประดับ เฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ของประเทศกัมพูชานั่นเอง
การเรียนรู้ภาษากัมพูชานั้นสนุกกว่าที่หนูคิดไว้ ตอนแรกหนูคิดว่าภาษากัมพูชาคงตลกน่าดู รู้สึกว่าเป็นภาษา สำเนียงแปลกๆ แต่เมื่อได้เรียนรู้และซึมซับภาษากัมพูชานั้นทำให้หนูรู้ว่าคำในภาษาไทยบางคำนั้นใช้เหมือน ภาษากัมพูชา แรกๆ ที่หนูมาอยู่หนูไม่กล้าออกเสียงตาม หนูคิดว่ามันตลก แต่เมื่ออยู่ที่นี่หลายๆ วันหนูรู้สึกสนุก กับการเรียนรู้ภาษากัมพูชามาก อย่างเช่นคำว่า น้ำ คนกัมพูชาจะเรียกว่า ตึก คำว่า น้ำเปล่า เรียกว่า ตึกสด น้ำแข็ง เรียกว่า ตึกเกาะ ขอ เรียกว่า ซม ถ้าเราจะพูดว่าขอขอบคุณ ต้องออกเสียงว่า ซมออกุน
การไปโรงเรียนของเด็กรักเรียนประเทศกัมพูชานั้นแตกต่างจากประเทศไทยคือเมื่อถึงช่วงเวลาพักกลางวัน นักเรียนกัมพูชาจะกลับบ้าน ซึ่งแตกต่างจากเด็กไทยที่อยู่รับประทานอาหารกลางวันในโรงเรียน คนกัมพูชา ส่วนใหญ่มักจะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่สวนสาธารณะในตอนเย็น สถานที่ๆ วัยรุ่นกัมพูชานิยมคือ เจ็ท คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีทำมาจากตู้คอนเทนเนอร์ ถ้าหนูมีโอกาสได้ไปประเทศกัมพูชาอีกครั้งหนู ก็อยากเข้าไปเที่ยวที่นี่
อาหารการกินในประเทศกัมพูชานั้นมีหลากหลายสามารถเลือกทานได้ มีทั้งอาหารไทย อาหารจีน อาหารฝรั่ง หรือว่าอาหารแขมร์ที่เป็นอาหารพื้นเมืองของคนกัมพูชา อาหารแขมร์ส่วนใหญ่รสชาติจะออกหวานและเค็ม คนกัมพูชาไม่นิยมทานเผ็ดร้อนแบบคนไทย อาหารบางเมนูมีหน้าตาและรสชาติคล้ายอาหารไทยแต่มีวัตถุดิบ บางอย่างที่ทำให้อาหารนั้นมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง เครื่องปรุงที่วางไว้บนโต๊ะมีทั้งพริกบดและพริกดอง ที่เป็นพริกทั้งเม็ดซึ่งมีให้เห็นเกือบทุกร้าน น้ำอ้อยของประเทศกัมพูชาจะคั้นสดๆ แล้วบีบมะนาวให้มีรสเปรี้ยวตัดกับรสหวาน อาหารแขมร์ที่หนูไม่ค่อยกล้ากินในตอนแรก พอได้ชิมแล้วอร่อยกว่าที่คิดไว้ รสชาติคล้ายกับอาหารไทย หอมกลิ่นเครื่องเทศเหมือนกัน
การได้มาประเทศกัมพูชาในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนมุมมองและความคิดใหม่ๆ ของหนู สิ่งที่เรากลัว ที่เราคิดลบใน ตอนแรก เมื่อได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่จริงๆ แล้วประเทศกัมพูชานั้นมีเสน่ห์กว่าที่คิดไว้ ผู้คนไม่รีบร้อน ใช้ชีวิตเรื่อยๆ ถึงประเทศกัมพูชาในตอนนี้จะยังไม่พัฒนาเท่าประเทศเราประเทศไทย แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูด ให้เราอยากท่องเที่ยวในประเทศนี้อีก
สิ่งที่หนูได้เรียนรู้และควรมาพัฒนาตนเองคือการใช้ภาษาอังกฤษ ถึงเราจะฟังและอ่านภาษาอังกฤษเข้าใจแต่ถ้าเราสื่อสารไม่ได้ก็ยากที่เราจะรับรู้สิ่งใหม่ๆ หรือคำตอบจากสิ่งที่เราสงสัย จากการที่หนูอยู่ที่ประเทศกัมพูชา หนูไม่กล้าถามเป็นประโยคภาษาอังกฤษเพราะกลัวจะพูดออกมาผิด จึงทำให้หนูเรียนรู้การใช้ชีวิตของคนกัมพูชาได้อย่างไม่เต็มที่นัก ดังนั้นเราควรฝึกพูดภาษาอังกฤษให้คล่อง
สุดท้ายนี้การเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ถ้าไม่รู้จะไปเที่ยวประเทศไหน กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านก็น่าสนใจไม่น้อยนะคะ”
ทั้งหมดที่คุณแม่คุณพ่ออ่านไปแล้วนั้นเป็นฝีมือการเขียนของน้องปิ่นด้วยตัวเอง ผมเพียงแต่บอกหลานว่าให้เขียน ประสบการณ์ที่หลานได้เห็น รู้สึกอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น ซึ่งน้องปิ่นก็เขียนสะท้อนออกมาตรงๆ มุมมองหลายมุม นั้นต้องยอมรับว่าสะท้อนมาได้ดี นึกไม่ถึงว่านักเรียนมัธยมวัยเพียง 16 ปีจะสะท้อนออกมาได้อย่างน่าสนใจ
มีเรื่องเดียวที่ผมอยากจะเพิ่มเติมให้หลานก็คือ โรงเรียนของกัมพูชานั้นยังมีน้อยอยู่ จำนวนห้องเรียนจึงยังไม่ พอเพียงกับจำนวนนักเรียน ดังนั้นนักเรียนในกัมพูชาจึงต้องแบ่งกันเรียนเป็นภาคเช้าและภาคบ่าย กลุ่มหนึ่งต้อง มาเรียนภาคเช้า เรียนจบแล้วก็กลับบ้าน จะไปเรียนพิเศษต่อหรือกลับไปอยู่บ้านก็แล้วแต่ เพื่อเปิดโอกาสให้ นักเรียนกลุ่มที่เหลือได้มาใช้ห้องเรียนหนังสือบ้าง
หลานสาวผมวัย 16 ปีไม่เคยไปต่างประเทศ เมื่อได้ไปกัมพูชาเพียงสี่ห้าวันยังประทับใจขนาดนี้ คุณแม่คุณพ่อ ลองวางแผนพาลูกรักไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านดูนะครับ และถ้าเป็นครอบครัวที่ชอบหาอะไรอร่อยๆ ทาน ก่อนเดินทางผมแนะนำให้ไปดูที่แฟนเพจผม Kasemsant AEC นะครับ เพราะผมได้แนะนำร้านอร่อยๆใน AEC ไว้เยอะเลยมีอร่อยตั้งแต่ 3 ดาวจนถึง 5 ดาวครับ รับรองเที่ยวสนุกทานอร่อยแน่นอนครับ