Amazing AEC – จับตาเลือกตั้งมาเลเซีย

0
787

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปแบบฉุกเฉินของมาเลเซียเพราะนายกฯนาจิ๊บ ราซัคเพิ่งประกาศยุบสภา ไปเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา
แม้ว่านายกฯนาจิ๊บ ราซัคจะเผชิญกับปัญหาอื้อฉาวเรื่องการทุจริตเงินกองทุน 1 Malaysia Development Berhad ที่คนไทย คุนหูในชื่อย่อ 1MDB ทำให้คนมาเลเซียไม่พอใจ ชุมนุมประท้วงและเรียกร้องให้นายกฯนาจิ๊บ ลาออกมา ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 แต่เขาก็ยืนต้านกระแสมหาชนได้อย่างไม่น่าเชื่อมาจนถึงวันยุบสภา
คู่แข่งคนสำคัญก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัดอดีตนายกฯและครูการเมืองของนายกฯนาจิ๊บวัย 92 ปีนั่นเอง นับตั้งแต่วันที่มีข่าวการทุจริตเงินกองทุน 1MDB ดร.มหาเธร์ก็ออกโรงวิพากษ์นายกฯนาจิ๊บอย่างรุนแรงมาโดยตลอด และ เมื่อประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่ดร.มหาเธร์ก็ลงทุนออกมาร่วมชุมนุมกับประชาชนด้วย แต่ด้วยอำนาจทางการเมืองที่ รวมศูนย์ไว้ที่นายกฯอย่างเหนียวแน่นทำให้ ดร.มหาเธร์ ลูกชายและคนรอบข้างเขาที่วิจารณ์นายกฯต่างโดนปลดจาก ตำแหน่งกันหมด
ก่อนจะยุบสภา นายกฯนาจิ๊บก็ได้ใช้อำนาจทางการเมืองเปลี่ยนเขตเลือกตั้งใหม่เพื่อให้มั่นใจว่าพรรคร่วมบาริซาน นาซิอองซาล (บีเอ็น)ของเขาได้เปรียบในการเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลยังออกกฎหมายต่อต้านข่าวปลอมเพื่อเพิ่มอำนาจให้ รัฐบาลสามารถควบคุมข่าวสารได้มากยิ่งขึ้น โดยหลายฝ่ายวิจารณ์ว่ากฎหมายนี้ตั้งใจออกมาเพื่อจัดการกับดร.มหาเธร์ เป็นการเฉพาะ ซึ่งก็เป็นจริงเพราะในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มก่อนจะเลือกตั้งไม่กี่วันดร.มหาเธร์ก็โดนรัฐบาลเล่นงานด้วย กฎหมายนี้จริงๆ ดังนั้นคอการเมืองจึงคาดกันว่าพรรคร่วมของนายกฯนาจิ๊บก็คงจะชนะเลือกตั้งครั้งนี้ในที่สุด
คำถามใหญ่จึงอยู่ที่ว่าเมื่อชนะการเลือกตั้งแล้ว นายกฯนาจิ๊บจะเดินเกมการเมืองอย่างไรต่อ จะดึงดันเป็นนายกฯต่อ หรือจะลงจากตำแหน่งเพื่อลดแรงกดดันทางการเมือง อีกไม่นานคงจะรู้กั น ที่ผมอยากให้จับตาการเลือกตั้งครั้งนี้ ของมาเลเซียก็เพราะในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงที่การเมืองมาเลเซียวุ่นวายมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสะดุดไปพอสมควร
ในปีพ.ศ. 2524 เมื่อดร.มหาเธร์ก้าวขึ้นเป็นนายกฯนั้น สถานะของไทยกับมาเลเซียนั้นค่อนข้างสูสีกัน GDP ของประเทศ และรายได้เฉลี่ยของประชากรก็ใกล้เคียงกัน และมีการพูดกัน ว่าสองประเทศนี้แหล่ะที่กำลังแข่งกันจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของ เอเชีย ในไทยเราเองก็พูดกันว่าเราเพียงแค่เลือกให้ได้ว่าเราจะเป็นนิคส์ ประเทศอุตสาหกรรมใหม่หรือเราจะเป็นแน็คส์ ประเทศเกษตรกรรมใหม่เท่านั้นเอง คนไทยในเวลานั้นส่วนมากเชื่อว่าเราจะเอาชนะมาเลเซียได้อย่างไม่ยากนัก
หลังจาก 10 ปีของการบริหารประเทศในฐานะนายกฯ พอถึงปีพ.ศ. 2534 ดร.มหาเธร์ได้ประกาศปฏิรูปประเทศครั้งที่ 1 ที่เรียกว่า VISION 2020 โดยตั้งเป้าว่าเมื่อถึงปีพ.ศ. 2563 หรือ 30 ปีหลังการปฏิรูป มาเลเซียจะเป็นประเทศที่ขับเคลื่อน ด้วยนวัตกรรมและจะก้าวเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งตั้งแต่ปีพ.ศ. 2534 เป็นต้นมานั่นเองที่มาเลเซียเริ่ม แซงหน้าประเทศ ไทยทั้งทางด้านความสามารถในการแข่งขัน ความสามารถด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะด้านการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ โดยในช่วง 20 ปีระหว่างปีพ.ศ. 2534 ถึงปีพ.ศ. 2553 เศรษฐกิจไทยเราเติบโตเฉลี่ยเพียงปีละ 4.4 เปอร์เซ็นต์ เศรษฐกิจมาเลเซียกลับเติบโตเฉลี่ยได้สูงถึงปีละ 6.2 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาในปีพ.ศ. 2553 นายกฯนาจิ๊บ ภายใต้การสนับสนุน ของดร.มหาเธร์ เพราะยังไม่ขัดแย้งกันก็ประกาศปฏิรูปประเทศรอบที่ 2 ภายใต้โครงการ 1 Malaysia อันเป็นที่มาของการ ก่อตั้งกองทุน 1MDB
ถ้าไม่มีเหตุทุจริต 1MDB และไม่มีความขัดแย้งทางการเมือง มาเลเซียก็คงจะก้าวขึ้นไปเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2563 ตามแผน อีกไม่กี่วันเราคงจะได้รู้กันว่าหลังเลือกตั้งมาเลเซียจะก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองไปได้หรือไม่

[smartslider3 slider="9"]