เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แหล่งข่าวของผมรายงานมาว่าอดีตประธานาธิบดี อู ถิ่นจอ ของเมียนมาได้เข้ามาผ่าตัดและรักษาตัว ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งของไทยแบบเงียบๆ ทำให้ผมตั้งคำถามถึงสุขภาพของอู ถิ่นจอ ซึ่งนับถึงปีนี้ เขามีอายุสูงถึง 72 ปีเข้าไปแล้ว เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา อูถิ่นจอ ก็ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีโดยแจ้งเหตุผลว่า “ต้องการจะไปพักผ่อน” ซึ่งแปลว่าสุขภาพของเขาคงจะยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงขนาดจะต้องลาออกจากตำแหน่งสำคัญ เยี่ยงนี้
ถ้านับตั้งแต่วันที่เขาเข้ารับตำแหน่งบริหารสูงสุดของประเทศคือวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559 อูถิ่นจอก็ได้ช่วย ด่อว์ อองซานซูจีบริหารประเทศมาได้เกือบจะ 2 ปีเต็ม ขาดไปไม่กี่วัน ซึ่งต้องบอกว่าเป็น 2 ปีแรกของการเปลี่ยนมือการบริหารมาสู่เอกชนอย่างเต็มตัว หลังจากที่ทางทหารได้ปกครองเมียนมาร์มายาวนาน
2 ปีของการอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งหลายฝ่ายจับตามองอย่างมากและเป็น 2 ปีที่อูถิ่นจอและด่อว์อองซานซูจีโดน ปรามาสไว้ไม่น้อยว่าคงจะไม่สามารถนำพาประเทศไปรอดได้แน่ ปรากฎว่าทั้งสองผู้นำนั้นสามารถบริหารประเทศได้ดี เหนือความคาดหมายของทุกฝ่าย แม้ว่าในบางเรื่องเช่นการส่งเสริมการลงทุนจะชะงักงันไปในช่วงต้นๆจนนักลงทุน ต่างชาติเริ่มโวยวาย
เหตุที่รัฐบาลอูถิ่นจอ ชะลอการอนุมัติและการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงแรกนั้น ก็เพราะเขาต้องการจะ ทบทวนให้มั่นใจว่า โครงการทั้งหลายที่รัฐบาลก่อนนั้นอนุมัติเอาไว้แล้วนั้นเป็นไปด้วยความโปร่งใสและเป็นประโยชน์กับเมียนมาร์อย่างแท้จริง เมื่อทบทวนโครงการเก่าๆเสร็จ โครงการใหม่ๆก็เลยอนุมัติได้เร็วขึ้น เสียงโวยวายของนักลงทุน ก็เลยเงียบลง
เพียงอาทิตย์เดียวหลังเขาลาออก รัฐสภาเมียนมาก็ลงคะแนนเลือกอูวินมินต์ วัย 67 ปีมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน ชนะตัวแทนสายทหารที่เสนอรองประธานาธิบดี อูมินต์ส่วย วัย 67 ที่รักษาการประธานาธิบดีในช่วงที่อูถิ่นจอ ลาออก
อูวินมินต์นั้นเกิดวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ที่หมู่บ้านหย่องฉอง ในเขตอิยะวดี เป็นคนชาติพันธุ์ตานุผิ่ว เขาจบศึกษาระดับปริญญาตรีด้านธรณีวิทยา จากมหาวิทยาลัยศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ย่างกุ้ง (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง) ด้านชีวิตส่วนตัวเขาแต่งงานแล้วกับ ด่อว์ โฉ่ โฉ่ และมีบุตรสาว 1 คน เขาทำงานในฐานะนักกฎหมายของศาลสูงในปี พ.ศ. 2524 ก่อนจะย้ายมาทำงานที่ศาลฎีกา และ 4 ปีถัดมา ย้ายมาเป็นทนายความอาวุโสว่าความในศาลสูง
อีก 3 ปีต่อมา เมื่อเกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ของผู้รักประชาธิปไตยซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงอย่างมากในวันที่ 8 สิงหาคม ปีพ.ศ. 2531 ซึ่งนับเป็นปีค.ศ.ได้คือวันที่ 8 เดือน 8 ปีค.ศ. 1988 ทำคนทั้งโลกจดจำว่าเป็นเหตุการณ์ “8888” นั้น อูวินมินต์ ก็ถูกจับติดคุกเพราะมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวครั้งนั้น เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดีอูถิ่นจอ และด่อว์อองซานซูจีที่โดนกักบริเวณ
เมื่อออกจากคุกเขากระโดดเข้าสู่สนามเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ด่อว์อองซานจีสามารถเอาชนะพรรคของทหารได้แบบถล่มทลาย จนทหารต้องคว่ำกระดานประกาศไม่ยอมรับผลการ เลือกตั้ง เขาจึงยังไม่ได้เป็น ส.ส. ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งซ่อมในปีพ.ศ. 2555 อูวินมินต์กระโดดเข้าสู่สนามเลือกตั้งอีกครั้ง ชนะเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. และเป็นเลขาของคณะกรรมาธิการด้านกฎหมายของสภา
ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด เขาลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค NLD เช่นเดิม เมื่อพรรคชนะเลือกตั้งถล่มทลายอีกครั้ง เขาได้รับความไว้วางใจจากพรรคให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งอูถิ่นจอ ลาออกจากตำแหน่ง เขาจึงถูกพรรค เสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและได้เป็นในที่สุด