Amazing AEC – เนื้อมัสสึซากะ (3)

0
547

อาทิตย์ที่แล้วผมพาท่านผู้อ่านไปทานเนื้อมัสสึซากะแบบปิ้งย่าง (ยากินิคุ) และแบบชาบู มาแล้ว วันนี้จะพาไปทานแบบ เสต็กและเทปันยากิกันต่อให้ครบถ้วนบริบูรณ์

ร้านเสต็กที่คณะผมไปทานกันนั้นเป็นร้านเล็กๆ ทั้งร้านนั่งได้ราว 15 คนเท่านั้น เจ้าของร้านวัย 70 ก็อยู่ในวงการเนื้อมานาน กว่า 40 ปีเศษ เป็นทั้งเจ้าของร้านเนื้อและเจ้าของร้านเสต็ก จึงมั่นใจได้ว่าเราจะได้ทานเนื้อมัสสึซากะแท้ๆและเป็นของดี เพราะการจะเปิดร้านขายเนื้อมัสสึซากะได้นั้นจะต้องไปลงทะเบียนกับสมาคมผู้ขายเนื้อมัสสึซากะเสียก่อน เพื่อป้องกัน การเอาเนื้อที่อื่นมาแอบอ้างขายว่าเป็นเนื้อมัสสึซากะ

พอรับออเดอร์เสร็จ เจ้าของร้านก็ลงมือหั่นเนื้อเองเลย ดูวิธีลงมีดหั่นเนื้อชิ้นงามผมก็บอกได้ทันทีว่ามืออาชีพ แถมหั่น ชิ้นเนื้อได้น้ำหนักเป๊ะตามที่เราสั่ง ผมขอยืนสังเกตอย่างใกล้ชิดว่าเขาจะเตรียมเนื้อก่อนย่างอย่างไร ก็เลยได้เห็นกับตา ตัวเองว่าเนื้อชั้นยอดนั้นไม่ต้องปรุงอะไร หั่นเสร็จเอาวางบนเตาได้เลย

พอเนื้อสุกได้ที่เจ้าของร้านก็ใส่แค่เกลือกับพริกไทยมาให้ พอเสต็กมาวางตรงหน้าผมก็ไม่รอช้า ลงมือหั่นเนื้อแล้วเอา เข้าปากทันที สัมผัสแรกคือความหอมของเนื้อมัสสึซากะที่แตกต่างไปจากเนื้ออื่นๆที่เคยทาน ส่วนความนุ่มละมุนลิ้น นั้นไม่ต้องพูดถึง นุ่มละมุนลิ้นสุดๆ ซอสหรือเครื่องปรุงอะไรนั้นผมไม่สนใจทั้งสิ้นเพราะแค่เนื้อกับเกลือพริกไทยนิด หน่อยก็อร่อยลืมโลกไปแล้ว ทานเพลินจนเพื่อนสูงวัยชาวมัสสึซากะต้องเตือนว่าอย่าลืมทานข้าวด้วยนะ ผมก็รีบตอบ ไปว่าเสต็กไม่ควรทานกับข้าว เพื่อนญี่ปุ่นยืนยันว่าให้ลองทานเสต็กที่นี่กับข้าวสวยแบบญี่ปุ่นของทางร้านเสียก่อน ผม จึงต้องลองทานเสต็กกับข้าวแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก พอได้ลองทานข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆกับเสต็กเท่านั้น ผมพบว่าเป็น การเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ และคงไม่ต้องบอกนะครับว่าตอนจบนั้นผมทานข้าวสวยชามโตจนหมดเกลี้ยง

วันต่อมาผมลองไปทานเนื้อมัสสึซากะแบบเทปันยากิดูบ้าง ร้านที่เลือกนี้เป็นร้านชื่อดังเก่าแก่ นักท่องเที่ยวรู้จักกันเยอะ ต่างจากเสต็กร้านแรก พอเข้าไปในร้านสิ่งแรกที่เห็นเลยคือหมายเลข 10 หลักที่มีไว้กำกับเนื้อมัสสึซากะแท้ๆทุกชิ้น และป้ายรางวัลต่างๆนานาเต็มร้านไปหมด สมกับเป็นร้านดังประจำเมือง

การทานเทปันยากิในร้านต่างๆนั้นส่วนมากเชฟจะมีลีลาการหั่นการปรุงที่สนุกสนานเพื่อเอาใจคนมาทาน บางรายก็โยน ไข่โชว์ แต่ที่ร้านนี้เชฟอาวุโสหุ่นอ้วนท้วนที่มาทำให้คณะเราทานนั้น ไม่เน้นลีลาเลย เพราะหลังจากปล่อยให้เราถ่ายรูป เนื้อชิ้นงามเสร็จแล้ว เชฟก็ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เราทานเลยแบบไม่มีลีลาโยนมีดโยนไข่เหมือนที่อื่น

เชฟเริ่มด้วยการเจียวกระเทียมจนหอมฟุ้ง หั่นผักและผัดกับกระเทียมมาวางบนขอบกระทะให้เราทาน โดยไม่ได้ใส่จาน เราก็ทานจากขอบกระทะตรงนั้นเอง แค่เริ่มด้วยกระเทียมเจียวกับผัดผัก คณะที่ร่วมทางทุกคนต่างหันมามองหน้ากันและ สบตากันทำนองว่าแค่เริ่มยังอร่อยขนาดนี้แล้วเหรอ ไม่น่าเชื่อ

จริงดังคาด เพราะเมื่อเชฟเอาเนื้อลงกระทะ และเริ่มหั่นเนื้อชิ้นพอดีคำ กลิ่นหอมของเนื้อที่โชยมาเข้าจมูกพวกเราแบบ เต็มๆนั้น ทำให้พวกเราน้ำลายสอกันเลยทีเดียว พอเนื้อสุกได้ที่ เชฟก็ตักมาวางไว้ที่ขอบกระทะเหมือนผัก ผมและคณะ ก็ไม่รอช้าใช้ตะเกียบคีบใส่ปากทันที และทุกคนก็หันมาสบตากันทันทีและสื่อสารกันทางสายตาตรงกันว่าอร่อยสุดๆ เผลอแป๊บเดียว เนื้อกองโตข้างหน้าทุกคนต่างก็หายวับไปพร้อมๆกับผักและกระเทียมเจียว ทานหมดกันแบบกระทะ สะอาดเอี่ยมเลยทีเดียว

จากการได้ไปทานเนื้อมัสสึซากะแท้ๆที่เมืองมัสสึซากะทั้ง 4 แบบคือ ยากินิคุ ชาบู เสต็กและเทปันยากิแล้ว ผมบอกไม่ได้ ว่าแบบไหนอร่อยกว่ากันเพราะอร่อยกันไปคนละแบบ แต่ผมบอกได้ว่าถ้ามีโอกาสก็จะไปเมืองมัสสึซากะอีกและจะทาน หมดทั้ง 4 แบบอีกแน่นอน ขอเวลาเก็บสตางค์ก่อน

[smartslider3 slider="9"]