Amazing AEC – เวียดนามแซงไทย???

0
525


ฮือฮากันขึ้นมาอีกรอบหลังจากที่ ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) ออกรายงานมาบอกว่าอีก 30 ปี ข้างหน้า จีนจะเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก และที่น่าตกใจสำหรับคนไทยก็คือเวียดนามจะแซงไทยซึ่งผมเตือนมาตลอด
ก่อนอื่นต้องรู้กันก่อนนะครับว่าเกณฑ์ที่เขาใช้วัดว่าประเทศไหนใหญ่โตแค่ไหนครั้งนี้นั้นเขาไม่ได้ใช้ GDP Nominal หรือ จีดีพีที่เป็นตัวเลข แต่เขาใช้ GDP PPP ซึ่งเป็นจีดีพีที่วัดอำนาจซื้อที่แท้จริงของแต่ละชาติ เพราะเงินจำนวนที่เท่ากันในแต่ ละประเทศนั้นใช้ซื้อสินค้าและบริการได้ในจำนวนที่แตกต่างกัน เช่นถ้าเราอยู่สหรัฐและมีเงินอยู่ 3 ดอลลาร์ เราอาจจะหา ซื้ออะไรทานเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้เลย แต่ถ้าอยู่เมืองไทยและมีเงินอยู่หนึ่งร้อยบาทซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 3 ดอลลาร์สหรัฐ เรา กลับสามารถซื้ออาหารทานได้ถึงสองมื้อเลยทีเดียว การวัดจีดีพีอำนาจซื้อซึ่งต้องเอาค่าครองชีพที่แท้จริงในแต่ละประเทศ มาคิดด้วยแบบนี้เลยสามารถสะท้อนความเป็นอยู่และฐานะที่แท้จริงของคนในแต่ละประเทศได้ดีกว่า จีดีพีแบบตัวเลข
จะว่าไปแล้วเมื่อคำนวณจีดีพีอำนาจซื้อ จีนนั้นแซงสหรัฐขึ้นเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดไปหลายปีแล้ว จีดีพีอำนาจซื้อของจีน ล่าสุดอยู่ที่ 21.3 ล้านล้านดอลลาร์ใหญ่กว่าจีดีพีอำนาจซื้อของสหภาพยุโรปทั้งสหภาพที่มีแค่ 19.7 ล้านล้านดอลลาร์ และ สหรัฐที่มีค่าที่ 18.6 ล้านล้านดอลลาร์ ตามมาห่างๆด้วยอินเดียที่อยู่อันดับ 3 ที่ 8.7 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อนอาเซียนของเรา คืออินโดนีเซียนั้นปีนี้อยู่ที่ 8 อำนาจซื้อ 3 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อถึงปี 2593 จีนจะยังคงครองความยิ่งใหญ่ในฐานะประเทศ ที่มีกำลังซื้อมากที่สุดในโลกเอาไว้ได้ ส่วนอินเดียจะแซงสหรัฐขึ้นอันดับ 2 และอินโดนีเซียจะแซงญี่ปุ่น เยอรมัน รัสเซีย และบราซิลขึ้นมารั้งตำแหน่งประเทศที่มีอำนาจซื้อใหญ่เป็นที่ 4 ของโลกได้อย่างน่าอะเมซิ่ง
เมื่อคำนวณอำนาจซื้อต่อหัวของคนใน AEC เราจะพบความ น่าสนใจของฐานะที่แท้จริงและค่าครองชีพของเพื่อนบ้าน เราอย่างนี้ครับ ประเทศที่คนมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุดเมื่อแปลงจีดีพีตัวเลขมาเป็นจีดีพีอำนาจซื้อคือเมียนมาซึ่งรายได้ ต่อหัวแบบตัวเลขมีแค่ 1,212 ดอลลาร์สหรัฐ แต่อำนาจซื้อที่แท้จริงกลับมีสูงถึง 5,953 ดอลลาร์ (211,330 บาท) สูงขึ้น 4.9 เท่า ส่วนคนอีกสามประเทศในกลุ่ม CLMV ต่างก็มีอำนาจซื้อมากขึ้นราวๆ 3 เท่าทั้งสามประเทศ คนสปป.ลาวซึ่งมีรายได้ ต่อหัวแบบตัวเลข 1,787 ดอลลาร์แต่มีอำนาจซื้อ 5,719 ดอลลาร์ (203,020 บาท) คิดเป็น 3.2 เท่า ส่วนคนกัมพูชาอำนาจซื้อ มีอยู่ 3,736 ดอลลาร์ (132,520 บาท) สูงกว่ารายได้ต่อหัวแบบตัวเลขที่มีค่าแค่ 1,144 ดอลลาร์ ราว 3.3 เท่า คนเวียดนามมี อำนาจซื้อที่แท้จริงอยู่ที่ 6,422 ดอลลาร์ (227,980 บาท) มากกว่ารายได้ต่อหัวแบบตัวเลขที่มีค่า 2,088 ดอลลาร์ราว 3.1 เท่า
เห็นอำนาจซื้อที่แท้จริงใน CLMV แบบนี้แล้วพอจะเข้าใจเลยนะครับว่าเพื่อนเราในกลุ่มประเทศนี้นั้นเขาจึงมีความเป็น อยู่ที่สุขสบายพอสมควร เพราะแม้จะมีรายได้แบบตัวเลขอยู่ในหลักสี่ห้าหมื่นบาท แต่อำนาจซื้อที่แม้จริงของพวกเขากลับ สูงถึงราวๆสองแสนบาทเลยทีเดียว นี่ขนาดยังไม่รวมรายได้ที่พวกเขาทำมาหากินได้มาจากเศรษฐกิจนอกระบบที่มีขนาด ใหญ่โตมากและไม่ได้ถูกเอามาคำนวณเป็นจีดีพีนะครับ ใครที่คิดจะค้าขายกับ CLMV เห็นอำนาจซื้อของเพื่อนบ้านแบบนี้ แล้วต้องอย่าช้าแล้วนะครับ
คนไทยเราแม้จะมีรายได้ต่อหัวแบบตัวเลขที่ 5,742 ดอลลาร์แต่มีอำนาจซื้อที่แท้จริงสูงถึง 16,835 ดอลลาร์ (597,640 บาท) สูงกว่าคนเวียดนาม 2.62 เท่า แต่ที่ PwC บอกว่าเวียดนามจะแซงไทยนั้นเขาวัดที่จีดีพีอำนาจซื้อของทั้งประเทศซึ่ง วันนี้ ของไทยมีค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์อยู่อันดับที่ 19 ของโลกใหญ่กว่าเวียดนามซึ่งอยู่ที่ 0.6 ล้านล้านดอลลาร์อันดับที่ 35 ของ โลก แต่เมื่อถึงปี 2593 จีดีพีอำนาจซื้อของเวียดนามจะใหญ่เป็นอันดับที่ 20 ของโลกส่วนไทยจะใหญ่เป็นอันดับที่ 25 ของ โลกเล็กกว่าเวียดนาม ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูงถ้าเวียดนามยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอัตรา 6 เปอร์เซ็นต์เศษ และไทยเรายังเติบโตแบบ 3 เปอร์เซ็นต์เศษแบบนี้
เลยขอบันทึกไว้ให้ตระหนักกัน แต่ไม่ได้อยากจะให้ตระหนก

[smartslider3 slider="9"]