Amazing AEC – CLMVT vs GMS (จบ)

0
524

สัปดาห์ที่แล้วผมเขียนถึงงาน CLMVT Logistic Conference ที่ขอนแก่นซึ่งจัดโดย สภาอุตสาหกรรมฯขอนแก่น และภาคีเครือข่าย ซึ่งผมบอกว่าผมไม่ชอบคำว่า CLMVT แต่ชอบคำว่า GMS อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมากกว่า

ประเด็นต่อมาก็คือผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และการค้าชายแดนสี่ท่านที่ขึ้นเวทีกับผมได้แชร์ประสบการณ์การค้ากับประเทศเพื่อนบ้านว่าไม่ง่ายอย่างที่หลายๆคนคิด ทุกท่านบนเวทีล้วนเคยเจ็บตัวจากการขาดทุน การโดนเบี้ยวมาแล้ว แต่สุดท้าย ทุกท่านก็ประสบความสพเร็จและยืนยันว่ายังไงๆตลาดประเทศเพื่อนบ้านก็ยังน่าสนใจมากๆสำหรับคนไทย

ข้อสังเกตของผมในเรื่องที่คนไทยส่วนมากที่ไปมีปัญหาในการทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านก็คือเราหลงตัวเองจนชะล่าใจมากจนเกินไปเพราะคิดว่าคนไทยเก่งกว่าสินค้าไทยดีกว่า การไปทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านก็เลยไม่ค่อยเตรียมตัวทำ การบ้านและศึกษาให้ดีพอเหมือนกับเวลาที่ต้องไปลงทุนในประเทศอื่นๆก็เลยต้องเจ็บตัวเป็นธรรมดา จะว่าไปแล้วคนไทย ที่ทำธุรกิจและโกงเพื่อนบ้านก็มีไม่น้อยเหมือนกัน

ในด้านการค้าขายกับกลุ่ม CLMV ของปีพ.ศ.2561 มูลค่ารวม 1.34 ล้านล้านบาทนั้นแม้ว่าจะคิดเป็นเพียง 8.3% ของมูลค่า การค้ารวมของไทย 16.2 ล้านล้านบาทนั้นอาจจะดูเหมือนไม่สำคัญ แต่เมื่อดู “ดุลการค้า” ซึ่งจะบอกว่าการค้าต่างประเทศ ของไทยกับประเทศอื่นๆเราได้กำไรหรือขาดทุน จะรู้โดยทันทีเลยว่า การค้ากับ CLMV นั้นมีความสำคัญกับเศรษฐกิจไทย อย่างยิ่ง เพราะเราได้เปรียบดุลการค้าหรือได้กำไรอยู่ในหลักสี่แสนห้าแสนล้านบาทมาโดยตลอด ยิ่งปีล่าสุด 2561 ที่การค้า ต่างประเทศรวมแล้วไทยขาดทุนอยู่ 4,656 ล้านบาทนั้น แต่ค้าขายกับ CLMV ไทยกลับได้กำไรสูงถึง 550,000 ล้านบาท

ที่เพื่อนบ้านเรามีกำลังซื้อสูงและยังมีเงินมาซื้อสินค้าไทยอย่างต่อเนื่องได้ก็เพราะเศรษฐกิจของทั้งสี่ประเทศนี้ยังสามารถ เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอัตราที่สูงระดับ 6-7 เปอร์เซ็นต์ มาอย่างต่อเนื่องและจะเติบโตในอัตราสูงระดับนี้ต่อไปได้อีก หลายปี โดยเฉพาะเวียดนามจะติดอันดับหนึ่งในสามประเทศที่เติบโตสูงที่สุดในโลก

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) ซึ่งเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆจากต่าง ประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญซึ่งประเทศกำลังพัฒนาต่างก็ต้องการ สิงคโปร์ที่สามารถพัฒนาแซงหน้าทิ้งห่างประเทศ อื่นๆใน AEC ได้ก็เพราะเขาสามารถดึงดูด FDI ได้มากกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งๆที่ตอนแยกประเทศกับมาเลเซียในปีพ.ศ. 2508 นั้น สิงคโปร์ไม่ได้มีอะไรดีกว่าประเทศไทยเลย สภาพดูแย่กว่าประเทศไทยด้วยซ้ำไป

ในปีพ.ศ. 2553 FDI ที่ไหลเข้าประเทศไทยมีมูลค่าสูงราว 470,000 ล้านบาท แต่ FDI ที่ไหลเข้าทั้ง 4 ประเทศใน CLMV มีมูลค่าแค่ 361,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 77 เปอร์เซ็นต์ของ FDI ของไทยเราเท่านั้นเอง แต่พอถึงปีพ.ศ. 2560 ในขณะที่ FDI ซึ่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยลดลงเหลือเพียง 291,000 ล้านบาท แต่ FDI ที่หลั่งไหลเข้าไปลงทุนใน CLMV กลับมี มูลค่าสูงถึง 729,000 ล้านบาท มากกว่าไทย 250 เปอร์เซ็นต์

ในปีพ.ศ. 2556 FDI ของไทยมีมูลค่า 508,800 ล้านบาท ส่วน FDI ของเวียดนามมีมูลค่าเพียง 284,800 ล้านบาท แต่หลังจาก นั้นเป็นต้นมา FDI ของเวียดนามก็เริ่มแซงไทยได้มาอย่างต่อ เนื่องจนถึงปัจจุบัน ในช่วงปีพ.ศ. 2557 ถึง 2560 FDI ของ ไทยมีมูลค่ารวม 835,000 ล้านบาท แต่ FDI ของเวียดนามมี มูลค่ารวม 1,526,000 ล้านบาท มากกว่าไทยเกือบๆ 2 เท่า และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมจึงย้ำมาโดยตลอดว่าเวียดนามกำลังจะแซงไทย และที่ไทยต้องมีเลือกตั้งนี่ก็เพราะต้องการ FDI ให้ไหลกลับเข้ามาเหมือนเดิม เหมือนตอนก่อนจะมีคสช.นั่นเอง

จากข้อมูลข้างต้นคงจะเห็นแล้วว่า CLMV มีความสำคัญกับเราและโลกมากแค่ไหน ไทยต้องจับมือกับเขาอย่างจริงใจ แต่ไม่ใช่แบบ CLMVT แต่ควรร่วมมือในรูปแบบ GMS โดยด่วน

[smartslider3 slider="9"]