ผลการทดสอบความสามารถของเด็กซึ่งเขาจัดทำกันทุก 3 ปีจากเด็กอายุ 15 ปีจำนวน กว่าครึ่งล้านคนทั่วโลก ที่เรียกว่า PISA หรือ โครงการประเมินนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Students Assessment) ของปีล่าสุดคือ ปีพ.ศ. 2558 ออกมาแล้ว ผมขอเลือกเฉพาะประเทศที่น่าสนใจมาให้ดูกันนะครับ
ประเทศ | วิทยาศาสตร์ | การอ่าน | คณิตศาสตร์ |
1.สิงค์โปร์ | 556 | 535 | 564 |
2.ญีุ่่น | 538 | 516 | 532 |
3.เอสโตเนีย | 534 | 519 | 520 |
4.ไต้หวัน | 532 | 497 | 542 |
5.ฟินแลนด์ | 531 | 526 | 511 |
8.เวียตนาม | 525 | 487 | 495 |
9.ฮ่องกง | 523 | 527 | 548 |
10.จีน | 518 | 494 | 531 |
11.เกาหลีใต้ | 516 | 517 | 524 |
15.อังกฤษ | 509 | 498 | 492 |
16.เยอรมนี | 509 | 509 | 506 |
25.สหรัฐฯ | 496 | 497 | 470 |
คะแนนเฉลี่ย | 493 | 493 | 490 |
54.ไทย | 421 | 409 | 415 |
62.อินโดนีเซีย | 403 | 397 | 386 |
เห็นแล้วน่าตกใจใช่มั้ยครับ เพราะผลการทดสอบของเด็กไทยเราตกทั้งสามวิชาอีกแล้ว ดูจากคะแนนย้อนหลัง ไปอีกสองครั้ง เด็กไทยเราก็ได้ประมาณนี้แหล่ะครับ คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหรือสอบตกทั้งสามวิชาตลอดเลย ต่างจากสิงคโปร์ซึ่งเคยได้ที่ 5 จากการทดสอบในปีพ.ศ. 2552 และ ที่ 2 ในปี 2555 มาปีนี้คว้าที่ 1 เลย แต่จะว่า ไปแล้วผลการทดสอบปีที่แล้วซึ่งสิงคโปร์ได้ที่ 2 แพ้เด็กเด็กจีนก็เพราะในปีนั้นจีนเขาทดสอบเฉพาะเด็กใน เซี่ยงไฮ้เท่านั้น พอปีล่าสุดจีนเขาเพิ่มเอาอีกสามเมืองคือ ปักกิ่ง เซียงจูและกวางตุ้งเข้ามา ทำเอาอันดับของจีน ร่วงลงไปอยู่ที่ 10 เลยทีเดียว
![PERSPECTIVE OF AEC - สร้างคนแบบสิงคโปร์ เวียดนาม 1 PERSPECTIVE OF AEC - สร้างคนแบบสิงคโปร์ เวียดนาม](https://kasemsantaec.com/wp-content/uploads/2020/08/PISA-worldwide-ranking-average-score-of-mathematics-science-reading-1024x768.png)
แต่ที่ดีขึ้นผิดหูผิตาจนคนทั้งโลกต้องพูดถึงคือเวียดนามซึ่งเพิ่งเข้าร่วมทดสอบ PISA ครั้งแรกในการทดสอบครั้งที่ แล้วคือปีพ.ศ. 2555 ซึ่งปีนั้นเด็กเวียดนามสอบได้ที่ 17 ของโลกได้คะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ 525 การอ่าน 487 คณิตศาสตร์ 495 สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยและสูงกว่าเมืองไทยซึ่งได้คะแนน 438 / 438 และ 427 ตามลำดับ แต่พอมาปี นี้เด็กเวียดนามสอบได้ที่ 8 ของโลก พุ่งแซงเด็กฮ่องกง จีน เกาหลีใต้ อังกฤษและเยอรมนีขึ้นมาอย่างน่าอะเมซิ่ง
มาลองดูกันครับว่าทำไมเด็กสิงคโปร์และเด็กเวียดนามถึงได้เก่งอย่างนี้
สิงคโปร์นั้นถือว่าการศึกษาคือหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศตามแนวทางที่อดีตนายกฯ ลี กวนยิววางเอาไว้ให้
การเรียนการสอนแบบ Bilingual โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักและให้เด็กเลือกเรียนอีก 3 ภาษา คือจีนกลาง หรือแมนดาริน มลายู และทมิฬนั้นทำให้คนสิงคโปร์กว่า 90% และสามารถพูดได้สองภาษาหรือมากกว่า ที่สำคัญ สิงคโปร์เขาเน้นให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งที่ชอบและอยากศึกษา ให้ฝึกคิดวิเคราะห์มากกว่าท่องจำ เป็นการสอนแบบ Teach Less, Learn More
แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดผมว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่สิงคโปร์เขาเน้นมาโดยตลอดก็คือมาตรฐานการสอนซึ่งสิงคโปร์มอง ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของระบบการศึกษา ดังนั้นตั้งแต่ก่อร่าง สร้างประเทศในปี พ.ศ. 2508 สิงคโปร์จึงได้ลงทุน อย่างมากและต่อเนื่องเพื่อสร้างมาตรฐานการสอนให้มีคุณภาพสูงที่สุดในโลกให้ได้ โดยเขาทำให้อาชีพครูเป็น อาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ใช้เงินเดือนและเกียรติมาเป็นปัจจัยดึงดูดคนที่เรียนเก่งที่สุด 5% แรกของประเทศอยาก จะมาเป็นครูให้ได้ และกำหนดให้ครูทุกคนจะต้องผ่านการฝึกอบรมที่สถาบันการศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้สามารถ ควบคุมคุณภาพของครูได้อย่างเต็มที่ และทำให้ครูใหม่ทุกคนมีสามารถในการสอน และสามารถเดินเข้าสู่ห้อง เรียนไปสอนได้ด้วยความมั่นอกมั่นใจ แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือสิงคโปร์เขาทำเรื่องทั้งหมดนี้อย่างต่อเนื่อง ครับ ถ้าไม่ทำอย่างต่อเนื่องก็จะไม่ประสบความสำเร็จแบบนี้
ส่วนเวียดนามนั้น นักการศึกษาทั่วโลกได้เข้าไปวิจัยและได้ข้อสรุปคล้ายกันว่าปัจจัย ที่ทำให้เขาประสบ ความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาคือ วัฒนธรรมของเวียดนาม เช่นความขยันของนักเรียน การทำงานหนักของครู และบทบาทของพ่อแม่
ครูเวียดนามสอนภายใต้ระเบียบวินัยที่เคร่งครัด ทำงานหนัก รับผิดชอบงานสอนเป็นหลัก เน้นผลการเรียนรู้ของ นักเรียนอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของโรงเรียนที่ถูกส่วนกลางควบคุมอย่างเข้มงวด นักเรียนเวียดนาม เป็นคนขวนขวายมีความขยันเป็นพื้นฐาน และมีทัศนคติว่าความสำเร็จทางการศึกษาเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของ ชีวิตเขา เด็กเวียดนามจึงทุ่มเทอย่างจริงจังและขยันเรียนมากกว่าเด็กชาติอื่นๆ ขณะที่พ่อแม่เวียดนามก็มีความคาด หวังสูงกับลูก จึงติดตามผลการเรียนอย่างใกล้ชิด และให้ความร่วมมือกับครูและยังช่วยระดมทุนให้โรงเรียน อีกด้วย
แม้ว่าจำนวนโรงเรียนของเวียดนามจะมีน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แต่ทุกโรงเรียนกลับมีมาตรฐานสูงเทียบเท่าสากล เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่าประเทศอื่นๆแต่คอมพิวเตอร์แทบทุกเครื่องของโรงเรียน วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในเวียดนาม สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลใยแก้วซึ่งรัฐบาลร่วมกับเอกชนมา ช่วยกันวางรากฐานเอาไว้ให้ ธนาคารโลกเคยเข้ามาทำการศึกษาและพบว่านักเรียนมัธยมของเวียดนาม 99.9% สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต
เรื่องไอทีกับการศึกษานี้รัฐบาลเวียดนามไม่ได้หยุดอยู่แค่การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้สถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่กลับมองไปไกลถึงโครงการมหาวิทยาลัยเสมือนหรือ Virtual University โดยไปขอความช่วยเหลือจาก เกาหลีใต้ ให้มาช่วยเหลือในโครงการมหาวิทยาลัยเสมือน Virtual University ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งฮานอย และโปรแกรม e-Learning ของมหาวิทยาลัยเปิดแห่งฮานอย โดยรัฐบาลเวียดนามตั้งเป้า ที่จะใช้ ICT เพื่อการพัฒนานวัตกรรมและมาตรฐานของการเรียนการสอนให้สูงขึ้นไปอีก และยังมีนโยบายที่จะ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนทั้งประเทศ โดยตั้งเป้าจะทำให้นักเรียน และประชาชนสามารถเรียนรู้ได้ ทุกที่และทุกเวลาที่ต้องการ
เรื่องสุดท้ายที่สะท้อนว่าเวียดนามเขาเอาจริงเอาจังกับเรื่องการศึกษาของประเทศก็คือเรื่องงบประมาณเพื่อการศึกษาครับ แม้ว่าเศรษฐกิจจะพัฒนาน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แต่เขาจัดงบประมาณเพื่อการศึกษาสูงมาก คิดเป็น 24% ของงบประมาณของรัฐบาล หรือคิดเป็น 6.3% ของ GDP แม้ว่าเมื่อคิดเป็นเม็ดเงินจริงๆแล้วจะยังต่ำกว่างบ ประมาณเพื่อการศึกษาของประเทศอื่นๆ แต่การใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพรวมกับวัฒนธรรมและยุทธศาสตร์ ต่างๆที่ผมเขียนถึงไปข้างต้นของเวียดนามก็ยังเพียงพอที่จะทำให้เด็กเวียดนามเก่งติด 1 ใน 10 ของโลกได้อย่าง ไม่ยากเย็น