AEC for Happy Family : สอนลูกรักให้ปฏิเสธคนเป็น

0
408

AEC for Happy Family : สอนลูกรักให้ปฏิเสธคนเป็น

AEC for Happy Family กับเกษมสันต์ ฉบับเดือนมีนาคม 2559
ตอน สอนลูกรักให้ปฏิเสธคนเป็น
มีการสำรวจว่าเด็กไทยรู้สึกอย่างไรกับการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวาเลนไทน์ คุณแม่คุณพ่อรู้มั้ยครับว่า เด็กไทย 53 เปอร์เซ็นต์เห็นว่าเป็นเรื่องปรกติ นี่ขนาดที่ยอมรับการคนทำการสำรวจนะครับ ถ้ารวมที่คิดแบบนี้แต่ไม่ยอมรับ ตัวเลขนี้นี้จะสูงขนาดไหน น่าคิดนะครับ ตัวเลขที่ว่านี้สะท้อนว่าเด็กสมัยนี้ไปไกลเกินกว่าที่คุณแม่คุณพ่อจะคิด ถึง สะท้อนว่าเด็กสมัยนี้เป็นเด็กที่มีแนวคิดไม่แตกต่างจากเด็กๆในต่างประเทศที่เขาไม่ถือเรื่องพรหมจรรย์

คุณแม่คุณพ่อเคยคิดมั้ยครับว่าทำไมคนไทยเราสอนลูกสาวให้รักและหวงแหนความบริสุทธิ์ ซึ่งก็มีหลายประเทศ ใน AEC และเอเชียสอนแบบเดียวกัน แต่บางประเทศเช่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเอเชียเหมือนกับเรากลับไม่ถือเรื่อง พรหมจรรย์ หรือฟิลิปปินส์ก็ไม่ค่อยถือเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เคยคิดมั้ยครับทำไมเป็นเอเชียเหมือนๆกันจึงคิดต่างกัน

ลองสังเกตดูนะครับประเทศที่สอนลูกหลานให้หวงแหนพรหมจรรย์จะเป็นประเทศที่มีความแตกต่างทางชนชั้น และให้ความสำคัญกับความแตกต่างทางชนชั้น เมื่อคนมีหลายชนชั้น คนที่อยู่ในชนชั้นสูงกว่าก็ย่อมจะไม่อยากให้ ชนชั้นที่ต่ำกว่าตัวเอง เข้ามาปะปนหรือก้าวข้ามชนชั้นขึ้นมาแต่งงานกับชนชั้นของตัวเอง วิธีสำคัญที่จะบล็อคหรือ ป้องกันไม่ให้ชนชั้นต่ำก้าวขึ้นมาเทียบชั้นได้ก็คือการสอนลูกหลานให้เห็นความสำคัญของพรหมจรรย์ เมื่อ ลูกสาวถูกอบรมเลี้ยงดูให้หวงแหนเรื่องนี้ โอกาสที่จะไปพลาดพลั้งตั้งท้องกับคนชนชั้นที่ต่ำกว่าก็จะมีน้อยลง เพราะถ้าเกิดตั้งท้องขึ้นมา คนชนชั้นที่ต่ำกว่านั้นก็จะมีโอกาสได้แต่งงานกับคนชนชั้นสูง ทีนี้การก้าวข้ามชนชั้น ก็จะเกิดขึ้น ญี่ปุ่นนั้นเป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น พ่อแม่ญี่ปุ่นก็เลยไม่ได้สอนให้ลูกสาวให้หวงแหนพรหมจรรย์

สังคมไทยยุคใหม่ เรื่องชนชั้น เรื่องความแตกต่างระหว่างชนชั้น นั้นนับวันจะน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ความขลังของ คำสอนเรื่องพรหมจรรย์เริ่มจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ รวมถึงอินเตอร์เน็ตที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่ได้มีโอกาสรู้เห็นว่า ประเทศอื่น เขามีประเพณีวัฒนธรรมที่แตกต่างไปอย่างไรโดยเฉพาะวัฒนธรรมของโลกตะวันตกที่เปิดกว้างใน เรื่องนี้ แม้กระทั่งในสังคมไทยของเราเองก็ตาม วันนี้คุณแม่คุณพ่อคงจะสังเกตได้ถึงการเปิดกว้างที่มากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องการให้ความสำคัญกับพรหมจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แสดงออกผ่านวงการบันเทิงที่ดาราทั้งหลายต่างกล้า ที่จะแสดงถึงการใช้ชีวิตคู่โดยยังไม่ได้แต่งงานกัน แม้กระทั่งการท้องก่อนแต่งก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าอับอาย ไปเสียแล้วในวงการบันเทิงไทย

คำถามคือคุณแม่คุณพ่อจะสองลูกรักเรื่องนี้อย่างไร เพราะถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างความแตกต่างทางชนชั้น และการรักษาพรหมจรรย์จะเปลี่ยนไป แต่คงไม่มีคุณแม่คุณพ่อที่ไหนที่อยากจะเห็นลูกไปมีอะไรกับใครต่อใคร โดยยังไม่ได้แต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราว ตัวผมเองแม้จะไม่ได้สนใจเรื่องความแตกต่างทางชนชั้น แต่ผมก็ยังคิดว่า เรื่องการรักษาพรหมจรรย์นั้นเป็นเรื่องของการรักนวลสงวนตัวที่น่าจะรักษาเอาไว้ให้คู่กับสังคมไทยต่อไปอีก หรืออย่างน้อยๆผมก็ยังอยากเห็นลูกหลานไทย “คิดและไตร่ตรอง” ให้ถ้วนถี่ก่อนจะตัดสินใจมีอะไรกับคนรัก

เพื่อให้ลูกรักเติบโตมาในสังคมปัจจุบันอย่างมีภูมิคุ้มกันที่ดี มีสามเรื่องที่คุณแม่คุณพ่อควรจะสอนลูกรัก คือ

หนึ่ง สอนให้ลูกรักรู้ถึงความแตกต่างในวิธีคิดของเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับความรัก ในเรื่องนี้เด็กผู้หญิงส่วนมากจะเห็นความรักเป็นเรื่องโรแมนติค เป็นเรื่องของความอบอุ่น เด็กผู้หญิงเวลามีแฟน ก็มักจะอยากอยู่ใกล้แฟน การจับมือกันการเดินจูงมือกันเป็นการแสดงความรักที่อบอุ่น แค่โดนแฟนกอดก็มี ความสุขละ และส่วนมากเด็กผู้หญิงก็จะต้องการเพียงแค่นั้นจากแฟน ผมเรียกความรู้สึกรักแบบนี้ว่า ”รักโรแมนติค”
แต่เด็กผู้ชายจะคิดและรู้สึกแตกต่างออกไป เมื่อถึงวัยที่ฮอร์โมนความเป็นชายทำงานเริ่มทำงาน เด็กผู้ชายจะ สนใจอยู่แต่การมีเพศสัมพันธ์ การจับมือและเดินจูงมือเด็กผู้หญิงเดินเล่น เป็นจุดแรกที่เด็กผู้ชายคิดว่าจะทำ เพื่อสานต่อไปเรื่อยๆจนมีจังหวะได้มีเพศสัมพันธ์กับเด็กผู้หญิง ผมเรียกรักแบบนี้ว่า “รักของเด็กผู้ชาย” ซึ่งคุณแม่คุณพ่อต้องเข้าใจนะครับว่าการที่เด็กผู้ชายคิดและรู้สึกแบบนั้นเป็นเรื่องที่ขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมนทางเพศตามธรรมชาติ หากลูกชายบ้านไหนได้รับการสั่งสอนมาดีหน่อยก็คงจะหักห้ามใจได้ดีกว่าเด็กทั่วไปหน่อย

ดังนั้นคุณแม่คุณพ่อจะต้องเน้นสอนให้ลูกรัก โดยเฉพาะลูกสาวให้รู้ว่า เด็กผู้ชายคิดอย่างไร สอนให้รู้ว่า “รักโรแมนติค” นั้นไม่เหมือน “รักแบบเด็กผู้ชาย”

สอง คุณแม่คุณพ่อจะต้องสอนให้ลูกรัก “รู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเอง” เด็กๆที่ยังไม่มีประสบการณ์เขาจะ “ตาม ไม่ทัน” ความรู้สึกของตัวเองหรอกนะครับ เขายังไม่เคยมีประสบการณ์เขาจึงไม่มีทางรู้ว่าความรู้สึกดีๆ ความรู้สึก รัก รู้สึกอบอุ่นจากการจับมือ มันจะนำไปสู่การแอบหอมแก้ม การกอดและสุดท้ายจะนำไปสู่อารมณ์ ความต้อง การทางเพศ อารมณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติอีกนั่นแหล่ะครับ ขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมนตามธรรมชาติ เพราะ ฉะนั้นคุณแม่คุณพ่อควรจะสอนจนลูกรักจำได้ว่าถ้าเริ่มจากการจับมือ อารมณ์ของทั้งเด็กทั้งสองคนจะพาพวกเขา ไปสู่จุดไหน สอนบ่อยๆจนลูกรักรู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเองนะครับ สำคัญมาก สอนจนลูกรักจำใส่ใจเลยว่า การที่โดนขอนอนกอดกันเฉยๆนั้นไม่มีทางจบลงด้วยการกอดกันเฉยๆแน่นอน

และสาม เรื่องสุดท้ายแต่สำคัญที่สุด คุณแม่คุณพ่อจะต้องสอนวิธี “ปฏิเสธให้เป็น” สอนให้ลูกรักรู้จักวิธีปฏิเสธ กับแฟนที่จะขอมีอะไรด้วย วิธีการปฏิเสธด้วยการใช้เหตุและผลเป็นวิธีการที่ “ไม่ได้ผล” ในการจะปฏิเสธ เพราะฝ่ายที่โดนปฏิเสธจะสามารถหา “เหตุผลมาหักล้าง” ได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น
1) ญ. : อย่าเลยเดี๋ยวคนเห็น ช: จะมีใครเห็นเราอยู่กันสองคน
2) ญ: อย่าเลยเดี๋ยวคนอื่นรู้ ช: ถ้าเราสองคนไม่พูดซะอย่างคนอื่นจะรู้ได้อย่างไร
3) ญ : อย่าเลยเดี๋ยวท้อง ช: ไม่ท้องหรอกมีถุงยาง
เห็นมั้ยครับการพยายามปฏิเสธด้วยเหตุผลนั้น อีกฝ่ายจะหาเหตุผลที่ดีกว่ามาหักล้างได้เสมอ

การปฏิเสธที่ได้ผลดีที่สุดก็คือ “การปฏิเสธโดยใช้อารมณ์โดยไม่ต้องมีเหตุผลหรือคำอธิบาย” ประโยคปฏิเสธ ที่ดีที่สุดสำหรับเด็กผู้หญิงที่โดนแฟนขอหรือพยายามจะมีอะไรด้วยก็คือ “อย่าทำแบบนี้ เราไม่ชอบ” และถ้าโดน ถามต่อว่าทำไมไม่ชอบ ก็ให้ตอบว่า “ไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่ชอบ” และถ้าจะตามไปด้วยประโยคที่ว่า “ถ้ารักเราจริงคราว หลังอย่าทำแบบนี้อีก เราไม่ชอบ” ก็จะยิ่งดีครับ การปฏิเสธด้วยอารมณ์โดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ จะทำให้อีกฝ่าย หมดปัญญาที่จะหาเหตุผลอะไรมาหักล้างได้

แต่อย่างไรก็ตามวัยรุ่นก็คือวัยรุ่น การสอนให้ลูกรักรู้จักที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่ให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถาน การณ์ที่เอาตัวรอดได้ยากนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกันนะครับ เพราะแม้จะรู้ว่าเด็กผู้ชายคิดอย่างไร รู้ตัวเองว่า จะรู้สึกอย่างไร หรือแม้กระทั่งรู้วิธีปฏิเสธแล้วก็ตาม แต่ถ้าลูกรักเอาตัวเองไปอยู่ในที่ลับตา แม้จะเก่งอย่างไร โอกาสพลาดก็จะสูงนะครับ

ที่สำคัญเรื่องแบบนี้ อย่ารอให้ลูกรักโตเป็นวัยรุ่นแล้วถึงจะค่อยคุยค่อยสอนลูกรักนะครับ เพราะถ้าเริ่มเป็นวัยรุ่น แล้วล่ะก็ โอกาสที่เขาจะเชื่อก็น้อยลงแล้ว ที่สำคัญกว่าคุณแม่คุณพ่อจะรู้ว่าลูกรักเป็นวัยรุ่นแล้ว วันนั้นคำสอนนี้ อาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้

[smartslider3 slider="9"]