สัปดาห์ที่แล้ว ผมทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “จุดตาย” ของไทยในการต่อสู้กับ Fake News ก็คือคอมพิวเตอร์ยังเข้าใจภาษาไทยน้อยมากๆ ดังนั้นไทยจึงยังไม่มี AI ปัญญาประดิษฐ์ที่เก่งภาษาไทย ยิ่งในปัจจุบันเริ่มมี Deepfakes ข่าวลวงที่ผลิตโดย AI ซึ่งคนจะแยกแยะได้ยากมากขึ้นไปอีก การต่อสู้กับ Fake News และ Deepfakes ด้วยคนจึงเปรียบเสมือนเอาคนขี่จักรยานไปไล่ตรวจจับรถที่ขับเร็วเกินกำหนดบนมอเตอร์เวย์นั่นเอง
ผมในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติซึ่งได้ทำการศึกษาเรื่องนี้มาก่อน ขอเสนอทางออกของการต่อสู้กับ Fake News และ Deepfakes ของไทย 3 ข้อด้วยกันคือ
หนึ่ง ปัจจุบันแม้จะใช้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติที่มีรองนายกฯ เป็นประธาน และมีหน่วยงานสำคัญๆของ ประเทศเข้าร่วมครบรวมกระทรวง DE มีคณะปฏิบัติการเป็นร้อยคนรวมคน DE ด้วยก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับ Fake News ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นหน่วยงานต่อสู้กับ Fake News และ Deepfakes จึงควรจะขึ้นตรงต่อนายกฯ ให้นายกฯเป็นแม่ทัพในการบัญชาการซึ่งจะทำให้ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือและบูรณาการกันอย่างเต็มที่ จะตั้งเป็นหน่วยงานขึ้นมาใหม่ หรือจะใช้โครงสร้างกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเดิมก็ได้ เมื่อแม่ทัพคือนายกฯ ทุกฝ่ายย่อมจะร่วมมืออย่างเต็มที่
สอง ปัจจุบัน Fake News และ Deepfakes ได้กลายเป็นปัญหาซึ่งทุกประเทศกำลังปวดหัวและถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ สิงคโปร์ระบุชัดเจนว่าประเทศเขาถูกประเทศอื่นโจมตีด้วย Fake News และเขาประเมินด้วยว่าในอนาคตอันใกล้การใช้ Fake News เพื่อโจมตีประเทศคู่แข่งก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นไทยควรจะต้องมี AI 3 ระบบไว้คอยต่อสู้กับ Fake News และ Deepfakes ตัวที่หนึ่งเอาไว้ทำงานด้านความมั่นคงและสถาบันฯ ตัวที่สองเอาไว้ทำงานด้านข่าวในประเทศทั่วไปเช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคมและอื่นๆ และตัวสุดท้ายเอาไว้คอยตรวจสอบ Fake News และ Deepfakes ที่เป็นภาษาต่างประ เทศและเกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การส่งออกและการลงทุนของประเทศ
สาม เรื่องการต่อสู้กับ Fake News และ Deepfakes นี้นายกฯ ควรกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะการสอนให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษาไทยให้ครบทุกด้าน อาทิ ภาษาความมั่นคง ภาษาด้านสถาบัน ภาษาข่าวทั่วไป ต้องใช้เวลาเป็นปี ดังนั้นนายกฯ จึงต้องระดมสรรพกำลังของคนทั้งประเทศให้เข้ามาช่วยกันสอนภาษาไทยให้คอมพิวเตอร์ และสามารถสอนไปพร้อมๆกันทั้งสามด้าน ยิ่งมีคนมาช่วยกันสอนมากเท่าไหร่ คอมพิวเตอร์ก็จะยิ่งเข้าใจภาษาไทยเร็วมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ระบบจะสามารถบอกได้ว่าข่าวไหนเป็นข่าวจริงหรือข่าวไหนเป็นข่าวปลอมก็ต่อเมื่อระบบมี BIG DATA ที่มีข้อมูลของ ภาครัฐทั้งหมดเอาไว้เปรียบเทียบ นั่นหมายความว่านายกฯต้องกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติที่หน่วยราชการทุกหน่วยจะ ต้องช่วยกันแปลงเอาเอกสารราชการทั้งหมดเช่นกฎหมาย มติครม. ประกาศกระทรวง และผลการประชุมต่างๆของทุกกระทรวง ทบว งกรม และทุกคณะกรรมการ เอาใส่ระบบในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์ค้นพบและเข้าใจได้เองอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้คน ยิ่งเอาข้อมูลภาครัฐใส่ไปได้เร็วเท่าไหร่คอมฯก็จะยิ่งเก่งเร็วขึ้นเท่านั้น เมื่อใดที่คอมฯเข้าใจภาษาไทยอย่างดีและ มีถังข้อมูลซึ่งเป็นความจริงไว้คอยตรวจสอบเปรียบเทียบ เมื่อนั้นแหละที่คอมพิวเตอร์จะสามารถตรวจสอบ Fake News และ Deepfakes แทนคนได้ และจะเป็น AI ปัญญาประดิษฐ์ คอมพิวเตอร์ที่คิดและทำกิจกรรมแทนคนได้แต่เก่งกว่า แม่นยำ กว่าและเร็วกว่าอย่างเทียบไม่ติด สามารถตรวจสอบ Fake News และ Deepfakes ได้เก่งและเร็วเหมือนที่ FBI และ CIA ทำ
ประโยชน์สำคัญของการกำหนดเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติก็คือเมื่อคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษาไทยและมีถังข้อมูลในรูปแบบ BIG DATA ที่เป็นภาษาไทย การขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ก็จะขับเคลื่อนได้อย่างจริงจังเสียที หากไทยไม่มี BIG DATA เราจะไม่มีวันเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างแน่นอน ถึงตรงนี้อยากย้ำว่าไทยเรายังไม่มี BIG DATA แต่เรามีเพียง Data Base ที่ใหญ่ซึ่งต้องใช้คนคอยค้นหาและเปรียบเทียบอยู่ คนที่เคยติดต่อราชการจะรู้ดีกว่าไทยแลนด์ 4.0 หรือ 0.4 ?
ในอนาคตเมื่อมี 5G และ Quantum Computer การสื่อสารจะรวดเร็วมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า การแก้ไข Fake News และ Deepfakes ก็จะยิ่งยากขึ้นตามไปด้วย นายกฯจึงควรบัญชาการเรื่องนี้ด้วยตัวเองและทำให้เป็นวาระแห่งชาติโดยเร่งด่วน