Amazing AEC – เนื้อมัสสึซากะ (2)

0
657

อาทิตย์ที่แล้วผมได้เขียนถึงวิธีการเลี้ยงวัวมัสสึซากะ อาทิตย์นี้ผมจะพาไปชิมเนื้อมัสสึซากะของแท้กันนะครับ

ร้านแรกที่พวกเราไปชิมนั้น คณะที่ขอติดตามไปชิมด้วยอยากจะลองทาน “ยากินิคุ” หรือเนื้อย่าง ผมจึงพาไปที่ร้านเก่าแก่ ประจำเมืองซึ่งขายแต่เนื้อมัสสึซากะแท้ๆ การทานยากินิคุแบบญี่ปุ่นนั้น คนย่างเนื้อจะต้องมีความรู้พอสมควรว่าเนื้อแบบ ไหนจะต้องย่างนานเท่าไหร่ไม่เช่นนั้นแล้วเนื้อย่างที่ได้จะไม่อร่อยเท่าที่ควร โชคดีที่คณะเรามีคนมัสสึซากะที่เชี่ยวชาญ เรื่องเนื้อเป็นคนพาไป เราเลยยกหน้าที่ย่างเนื้อให้คนญี่ปุ่นส่วนคนไทยมีหน้าที่รับประทานอย่างเดียว

เราสั่งแบบเซ็ท ดังนั้นร้านจึงเสิร์ฟส่วนต่างๆของเนื้อมาหลายอย่าง เช่น ลิ้น เครื่องในและเนื้อส่วนต่างๆ ระหว่างการย่าง เพื่อนสูงวัยชาวมัสสึซากะได้เล่าให้เราฟังด้วยว่าคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าเนื้อที่ดีนั้นต้องนุ่มซึ่งเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพียงส่วนเดียว เพราะเนื้อที่ดีนั้นนอกจากจะต้องนุ่มแล้วยังจะต้อง “หอมเนื้อ” อีกด้วย มากไปกว่านั้นเนื้อที่ดีโดยเฉพาะ เนื้อมัสสึซากะนั้น “มัน” ที่แทรกตัวอย่างสวยงามนั้นจะต้องมีรส “หวาน” ความจริงเรื่องนี้ผมเคยได้ยินมาหลายครั้งแล้ว ตอนเพื่อนคนนี้มาเที่ยวเมืองไทยแต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายดีนัก เพราะเวลาทานเนื้อในเมืองไทยเนื้อก็หอมและก็ อร่อยดีนี่นา

เราเริ่มต้นชิมกันที่ลิ้นย่างซึ่งร้านนี้หั่นมาแบบชิ้นหนาพอสมควร แตกต่างไปจากที่ผมเคยทานที่มักจะสไลด์ลิ้นมาจนบาง ซึ่งผมก็ระแวงหน่อยๆว่าจะคงจะเหนียว แต่พอได้เอาลิ้นย่างจิ้มน้ำมะนาวแล้วเข้าปากเท่านั้นเอง ผมต้องยกนิ้วโป้งให้ร้าน เลยว่าลิ้นร้านนี้แม้ชิ้นจะใหญ่และหนา แต่ย่างออกมาแล้วนุ่มละมุนลิ้นและไม่เหนียวเลยแถมมีเนื้อให้ทานแบบเต็มปาก เต็มคำอร่อยมากๆ หลังจากนั้นเราได้ลองทานเครื่องในส่วนอื่นๆซึ่งทุกคนในคณะต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่าแค่เครื่อง ในย่างก็อร่อยอย่างแตกต่างแล้ว แต่ต้องยั้งใจไว้ทานอย่างอื่นบ้าง

คิวต่อมาคือเนื้อมัสสึซากะแท้ๆ เกรด A5 ซึ่งเป็นเกรดสูงสุดของบรรดาเนื้อทั้งหมด พอได้ทานเนื้อมัสสึซากะแท้ๆและ ย่างอย่างถูกวิธีแล้วผมถึงเริ่มเข้าใจคำว่า “เนื้อหอมและมันหวาน” เพราะเมื่อผมเอาเนื้อย่างเข้าปากโดยไม่ต้องจิ้มซอสใดๆ ผมก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อที่แตกต่างไปจากที่เคยได้ทานมา เป็นความหอมที่ต้องได้กลิ่นด้วยตัวเองถึงจะเข้าใจว่ามันหอม แตกต่างจากเนื้อทั่วไปและเนื้อไทยอย่างไร ไม่สามารถเขียนธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

พอได้ลองทานเนื้อมัสสึซากะดีๆย่างอย่างถูกต้องนั้นขอบอกว่าต้องลืมเนื้อย่างแบบอื่นๆที่ประเทศอื่นๆไปเลยเพราะมันทั้งหอมและทั้งนุ่มแถมยังละลายในปากสมคำร่ำลือ อร่อยแบบลืมตัวทานเอาทานเอาหยุดไม่ได้เลย บางคนที่ชอบแบบมี รสชาติขึ้นมาอีกนิดก็ใช้นิ้วหยิบเอาเกลือและพริกไทยมาโรยๆหน่อยก็ยิ่งอร่อยไปใหญ่

ส่วน “ความหวานของมัน” นั้น ตอนทานแบบยากินิคุผมยังไม่ค่อยรับรู้เท่าไหร่ว่าอะไรคือความหวานของมันวัว เพื่อน มัสสึซากะจึงสั่ง “ชาบู” ให้ทาน พร้อมกับบอกว่าคนญี่ปุ่นก็นิยมทานเนื้อมัสสึซากะแบบชาบู พอร้านเอาเนื้อมาเสิร์ฟ คนญี่ปุ่นก็รีบแย่งใช้ตะเกียบหยิบชิ้นเนื้อที่สไลด์มาแบบชิ้นใหญ่ไม่บางมากและมีมันแทรกตัวเป็นลายสวยงามมากไป “ผ่านน้ำซุป” แบบนับหนึ่งสองสามแล้วเอามาใส่ถ้วยผม และบอกให้ลองทานแบบไม่ต้องจิ้มอะไร

พอเอาเนื้อเข้าปาก นอกจากความหอมของเนื้อที่ได้กลิ่นง่ายกว่าตอนเอาไปย่างแล้ว ผมยังได้รับรู้ความนุ่มของเนื้อซึ่งก็มี มากกว่าแบบย่างอีกเช่นกัน พอเริ่มเคี้ยวซึ่งก็ไม่ต้องเคี้ยวอะไรมากมายเพราะเนื้อของเขานุ่มแบบแทบจะละลายในปากอยู่ แล้ว ผมก็เริ่มได้รับรู้รสความหวานของ “มันเนื้อ” ที่เพื่อนพยายามจะอธิบายแล้วผมยังไม่เข้าใจ เพราะมันมีความหวานบาง อย่างแทรกตัวอยู่ในเนื้อที่ไม่ใช่ความหวานของเนื้ออร่อยมากๆ ยิ่งพอได้ลองทานกับซอสงาดีๆที่ทางร้านเสิร์ฟมาด้วยก็ยิ่ง อร่อยแบบสุดๆไปเลย หลังจากได้ทานทั้งสองแบบพร้อมๆกันแล้ว ผมต้องบอกว่าชอบทานเนื้อมัสสึซากะแบบ “ชาบู” มาก กว่าแบบ “ยากินิคุ” เพราะสามารถซึมซับและดูดดื่มความยอดเยี่ยมของเนื้อมัสสึซากะได้มากกว่า

อาทิตย์หน้ามาทานเนื้อมัสสึซากะแบบทำเป็นเสต็กและเทปันยากิกันต่อนะครับ

[smartslider3 slider="9"]