Amazing AEC – เลือกตั้งแล้วยังไงต่อ? (3)

0
539

สองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเขียนถึงสิ่งที่รัฐบาลใหม่ของไทยควรจะทำโดยดูบทเรียนจากประเทศใน AEC ซึ่งผมเริ่มจากการ ปราบโกง การเขียนยุทธศาสตร์ประเทศ และทิ้งท้ายเอาไว้ถึงการสร้างความปรองดองเพราะตอนนี้ไทยเราเข้าสู่ยุคแตกแยก กันอย่างน่ากลัว
อินโดนีเซีย มาเลเซียและสิงคโปร์ เคยมีความขัดแย้งแตกแยกกันอย่างรุนแรงระหว่างคนมุสลิม คนจีน ซึ่งเป็นความแตก ต่างกันทั้งเชื้อชาติและศาสนา เกิดเหตุร้ายเสียชีวิตกันเยอะ แต่ด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน วันนี้ความแตกต่างยังคงมีอยู่ แต่ไม่ใช่ความขัดแย้งจนเกิดความรุนแรงถึงชีวิต
ความขัดแย้งระหว่างคนมุสลิมและคนจีนซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์จำต้องแยกตัวออกจากมาเลเซียในปีพ.ศ. 2508 นั้นทำให้ลีกวนยูนายกฯคนแรกของสิงคโปร์ตัดสินใจให้ภาษาแม่ของคนสามเชื้อชาติของประเทศคือภาษาจีน กลางของคนจีน ภาษามลายูของคนมุสลิมและภาษาทมิฬของคนอินเดีย (ที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์) เป็นภาษาราชการทั้งสาม ภาษาเพื่อให้คนทั้งสามเชื้อชาตินั้นมีความภาคภูมิใจในสิงคโปร์และมีสำนึกร่วมกันว่าสิงคโปร์เป็นประเทศของทุกคน
ในขณะเดียวกันเพื่อให้คนทั้งสามเชื้อชาติที่พูดกันคนละภาษาสื่อสารกันรู้เรื่องและเพื่อให้สิงคโปร์สามารถสื่อสารกับโลกได้ ลีกวนยูจึงกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการอีกหนึ่งภาษาและให้เป็นภาษาราชการหลัก และบังคับให้สถาบัน การศึกษาทุกระดับทำการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยเพราะเขาวางยุทธศาสตร์ให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้าขายของโลก คนสิงคโปร์ทุกคนจึงต้องพูดภาษาอังกฤษได้อีกหนึ่งภาษานอกจากภาษาแม่ของตนเอง
การสั่งให้ทุกสถาบันสอนเป็นภาษาอังกฤษฟังดูเหมือนง่ายเพราะเหตุผลดูดีมีประโยชน์ แต่ในสมัยนั้นภาษาอังกฤษยังไม่ เป็นที่แพร่หลายเหมือนในสมัยนี้ แถมคนจีนในสิงคโปร์ยังมีมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ สถาบันการศึกษาหลักๆในทุกระดับ จึงทำการสอนในภาษาจีนกลางและไม่มีสถาบันไหนเต็มใจจะสอนเป็นภาษาอังกฤษ จนลีกวนยูต้องบังคับว่าถ้าสถาบัน ไหนไม่ยอมสอนเป็นภาษาอังกฤษจะสั่งยุบและเอานักเรียนนักศึกษาส่งไปเรียนกับสถาบันอื่นที่สอนเป็นภาษาอังกฤษทันที ทำให้ทุกสถาบันต้องยอมสอนเป็นภาษาอังกฤษแต่โดยดี
ผลก็คือคนสิงคโปร์สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคน AEC ชาติอื่นๆ จึงสามารถติดต่อสื่อสารกับโลกได้ดีและเก่งกว่า บวกกับความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเริ่มต้นทำธุรกิจที่ง่ายกว่าและความโปร่งใสที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน สิงคโปร์จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายของอาเซียน คว้าพุงปลาไปกินได้ทั้งๆที่ประเทศเล็กนิดเดียว แถมคนทั้งสามเชื้อชาติก็สื่อสารกันรู้เรื่อง ความขัดแย้งความแตกแยกก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ต่างไปจากมาเลเซียและอินโดนีเซียซึ่งแก้ไขปัญหาแบบไม่จริงจังเช่นสิงคโปร์
ปัญหาความแตกแยกขัดแย้งในเมืองไทยตอนนี้นับว่าหยั่งรากลึกและลามไปในทุกระดับชั้นของสังคมอย่างน่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลใหม่ก็จะต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งไม่ง่ายเลย
การปฏิรูปการศึกษาก็เป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะเรื่องการปฏิรูปการศึกษาของไทยนี้ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาต่างก็กล่าวอ้างว่าให้ความสำคัญและทำการปฏิรูปมาโดยตลอด แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามเพราะความสามารถของเด็กไทยกลับอยู่ในระดับที่ย่ำแย่แพ้เด็กหลายชาติใน AEC ความสามารถทางภาษาอังกฤษของเด็กไทย เกือบจะต่ำสุด ส่วนผลการทดสอบของ PISA ก็ยังตอกย้ำว่าเด็กเวียดนามนั้นเก่งกว่าเด็กไทยไปแล้ว
เวียดนามซึ่งเพิ่งเริ่มปฏิรูปการศึกษาเมื่อปีพ.ศ. 2529 ในสภาพประเทศที่ยับเยินแทบจะสิ้นชาติจากสงคราม และฐานะรัฐบาลที่มีงบประมาณเพียงน้อยนิดแต่ก็ยังสามารถปฏิรูปการศึกษาได้สำเร็จ อาทิตย์หน้าจะมาเขียนให้อ่านต่อครับ

[smartslider3 slider="9"]